SHARE

คัดลอกแล้ว

3 ทางเลือกปรับขึ้นค่าเอฟทีงวด ม.ค. – เม.ย. 66 ส่งผลค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 5.37-6.03 บาท/หน่วย พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่ 14 ถึง 27 พ.ย. 65 ก่อนประกาศใช้จริง

เมื่อเร็วๆ นี้ นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 51/65 (ครั้งที่ 818) เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 65 มีมติรับทราบภาระต้นทุนค่าเอฟทีประจำรอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2566 พร้อมให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนคงค้างที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกรับในกรณีต่างๆ ดังนี้

กรณีที่ 1 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน มกราคม – เมษายน 2566 จำนวน 224.98 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน มกราคม – เมษายน 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 66.67 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 1 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 81,505 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.03 บาทต่อหน่วย

กรณีที่ 2 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน มกราคม – เมษายน 2566 จำนวน 191.64 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน มกราคม – เมษายน 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 33.33 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 2 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 101,881 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.70 บาทต่อหน่วย

กรณีที่ 3 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน มกราคม – เมษายน 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 122,257 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.37 บาทต่อหน่วย

ทั้งนี้ การประมาณการค่าไฟฟ้าดังกล่าวเป็นไปตามประกาศ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง กระบวนการและขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยมีสมมุติฐานและปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน มกราคม – เมษายน 2566 ตามผลการคำนวณของ กฟผ. ประกอบด้วย

1. การจัดหาพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน มกราคม – เมษายน 2566 เท่ากับประมาณ 67,833 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 3,724 ล้านหน่วยจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน กันยายน – ธันวาคม 2565) ที่คาดว่าจะมีการจัดหาพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64,091 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.84

2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน มกราคม – เมษายน 2566 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 54.20 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวมร้อยละ 13.81 และ ลิกไนต์ของ กฟผ. ร้อยละ 8.46 เชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 6.25 พลังน้ำของ กฟผ. ร้อยละ 3.48 น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 0.73 น้ำมันดีเซล (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 6.31 และอื่นๆ อีกร้อยละ 6.75

3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน มกราคม –  เมษายน 2566 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ก.ย. – ธ.ค. 65 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากรอบเดือน ก.ย.-ธ.ค. 65 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่

4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ ซึ่งใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลังก่อนทำประมาณการ (1-30 ก.ย. 65) เท่ากับ 37.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ้างอิงข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นฐานซึ่งอ่อนค่าลงจากประมาณการในงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 65 ที่ประมาณการไว้ที่ 34.40 บาทต่อเหรียญสหรัฐอยู่ 2.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.75)

ขณะที่สถานการณ์ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงอยู่ในสภาวะที่อ่อนไหวและยังคงผันผวนอยู่ในระดับราคาที่สูงตามสถานการณ์ราคา LNG และราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าและค่าเอฟทีเรียกเก็บตลอดปี 66 ดังนี้

1. ความไม่แน่นอนของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและแนวโน้มที่จะสามารถจ่ายก๊าซจากแหล่งเอราวัณเข้าสู่ระดับปกติหรือใกล้เคียงปกติเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการนำเข้า LNG มาทดแทน

2. การลดลงของแหล่งก๊าซธรรมชาติทางตะวันตก (ในเมียนมา) โดยอาจจะต้องนำก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG เข้ามาทดแทนในปริมาณมากขึ้นเพื่อทดแทนหรือหาแหล่งพลังงานรูปแบบอื่น เช่น พลังน้ำหรือพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เข้ามาทดแทน

3. สภาวะราคา LNG ในตลาดโลกมีการแกว่งตัวในระดับที่สูงถึงสูงมากเนื่องจากอุปสงค์ (Demand) ของ LNG ในตลาดโลกยังคงมีมากกว่าอุปทาน (Supply) และตลาดอาจจะมีลักษณะดังกล่าวต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2566 อันเป็นผลต่อเนื่องจากที่ยุโรปลดการนำเข้าก๊าซทางท่อจากรัสเซียและหันไปซื้อ LNG ในตลาดจรแทนและการทยอยฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศหลังวิกฤตโควิด-19 ส่งผลต่อความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นรวมทั้งประเทศไทย

4. อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ) ยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงและค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้า กฟผ. และ IPP ที่เพิ่มขึ้น

5. การใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติสามารถลดการนำเข้า LNG ได้แต่การใช้น้ำมันยังคงมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในระดับสูงเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ

6. ข้อจำกัดด้านสถานะทางการเงินและสภาพคล่องของ กฟผ. เป็นอีกสาเหตุที่อาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองภาคนโยบายในการตรึงค่าเอฟทีได้ในระยะยาว

สำนักงาน กกพ. เรียกร้องให้มีการบริหารการใช้ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางเศรษฐกิจ ลดการนำเข้า LNG หรือลดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันเพื่อให้สามารถบริหารและสามารถควบคุมต้นทุนราคาเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตราคาพลังงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

กกพ. ได้พิจารณาทบทวนอัตราค่าบริการรายเดือนที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในระหว่างวันที่ 3 – 17 ต.ค. 65 แล้ว เห็นชอบให้มีการปรับอัตราค่าบริการรายเดือนลดลงสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า 3 ประเภท ดังนี้

1. ประเภทบ้านอยู่อาศัย ใช้มากกว่า 150 หน่วย  เดิม 38.22 บาท/เดือน  ใหม่ 24.62 บาท/เดือน

ประเภทบ้านอยู่อาศัย แรงดันต่ำ อัตรา TOU  เดิม 38.22 บาท/เดือน ใหม่ 24.62 บาท/เดือน

2. กิจการขนาดเล็ก แรงดันต่ำ  เดิม 46.16 บาท/เดือน ใหม่ 33.29 บาท/เดือน

3. กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร อัตรา TOU เดิม 228.17 บาท/เดือน ใหม่ 204.07 บาท/เดือน

สำนักงาน กกพ. จะเร่งดำเนินการประสานการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อให้การปรับลดอัตราค่าบริการรายเดือนให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตพลังงานให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและประเภทกิจการขนาดเล็กอีกทางหนึ่งด้วย

‘ไทยสร้างไทย’ ค้านขึ้นค่าไฟ แฉประชาชนต้องจ่ายค่าไฟ ทั้งที่ไม่ได้ใช้หน่วยละ 0.5 สตางค์ รวมกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี

นายรณกาจ ชินสำราญ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ และกรรมการบริหาร พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า วานนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงผลการประเมินคำนวณค่า FT รอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 66 ว่า มีโอกาสจะปรับเพิ่มขึ้นได้ 3 กรณีทำให้ค่า FT สูงสุดมีแนวโน้มจะไปถึง หน่วยละ 224.98 สตางค์ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง หมายความว่า ค่า FT ในต้นปีหน้าเมื่อเทียบกับปัจจุบันในเดือนกันยายน -ธันวาคม 2565 ที่หน่วยละ 93.43 สตางค์ จะแพงขึ้นเป็น 240% หรือ 2.4 เท่า

และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีนี้ คือ ม.ค. – เม.ย. 65 ที่ค่า FT อยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วยแล้วล่ะก็ จะมีโอกาสสูงขึ้นเป็น 16,100% หรือคิดเป็น 161 เท่า ภายในแค่ 12 เดือนเลยทีเดียว และนั่นก็คือของขวัญปีใหม่แสนสาหัสที่รัฐเตรียมมอบให้กับคนไทย

ในขณะเดียวกัน กกพ. แถลงถึงสาเหตุของค่า FT ที่ปรับขึ้นสูง เพราะมาจากต้นทุนค่าแก๊สธรรมชาติและค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องไฟฟ้าสำรองที่มีมากผิดปกติเกินความจำเป็นกว่า 60% และยังไม่ได้กล่าวถึงการจ่ายค่าความพร้อมจ่ายอีกปีละกว่า 2 หมื่นล้านบาท หรือประมาณการหน่วยละมากกว่า 0.5 บาท ให้กับโรงไฟฟ้าเอกชน ที่แม้ไม่ต้องเดินเครื่องผลิตแต่ก็ยังได้รายได้จากรัฐตามสัญญาผูกพันระยะยาว

ตนอยากถามว่า ในเมื่อปัจจัยของต้นทุนค่าไฟฟ้าแพง ไม่ได้มาจากค่าเชื้อเพลิงแพงอย่างเดียวใช่หรือไม่ หรือแม้แต่ตัวเลขขาดทุนของ กฟผ. กว่า 200,000 ล้านบาท ก็ไม่ได้มาจากต้นทุนเชื้อเพลิงแพงอย่างเดียว ทำไมถึงไม่ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกับประชาชน เพราะอย่างน้อยภาระที่ถูกผลักมาอยู่ที่ประชาชนกับค่าไฟที่กำลังจะแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนที่เป็นผู้จ่ายเงินแบบเลี่ยงไม่ได้ก็ควรรับรู้ว่าเงินของพวกเค้าจ่ายให้กับอะไรบ้าง ใช่หรือไม่

ที่มา : สำนักงาน กกพ. 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

‘ไทยสร้างไทย’ เปิดสัญญาการซื้อไฟระหว่างรัฐและนายทุนพลังงาน แฉจ่ายเงินกว่า 8 พันล้านบาท ให้ 6 โรงงานไฟฟ้า ที่ยังไม่ได้ผลิตเลย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า