‘อนุทิน’ ไม่วิจารณ์ ‘ค่าแรง 600 บาท’ และไม่เป็น ‘ทายาททางการเมือง’ หลังพล.อ.ประยุทธ์ บอกจะอยู่ต่ออีก 2 ปี

‘ประยุทธ์’ บอกอยู่ต่ออีก 2 ปี ยกประวัติศาสตร์การเมืองไทยคนเป็นทายาทมักตายก่อน  ขอทำด้วยตัวเอง ไม่ให้ใครมาตั้ง ชี้รัฐธรรมนูญไม่เขียนพรรคอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ  ระบุ “อุ๊งอิ๊ง-ตู่-หนู-ป้อม-ตุ๋ย-มิ่ง-ท๊อป” รอหลังเลือกตั้ง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ในวันนี้ (8 ธ.ค. 65) ถึงความเป็นไปได้ในการร่วมรัฐบาลกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มีแนวโน้มว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะเข้าร่วม ว่า จะพูดอะไรต้องรู้ว่า เรามีความพร้อมแค่ไหน ถ้าไม่มีความพร้อม ไปพูดอะไรใหญ่โต ก็เห็นๆ กันอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เห็นเจตจำนงของพล.อ.ประยุทธ์ ที่อยากจะทำภารกิจต่อแล้วหรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่ทุ่มเททำงานให้กับบ้านเมือง ทั้งการบริหารประเทศและในระบบรัฐสภา แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ ขณะนี้ใกล้ครบเทอมแล้ว ถือว่า ความสามารถในการบริหารบ้านเมืองของนายกรัฐมนตรีมีประสิทธิภาพ

ส่วนโอกาสเป็นไปได้หรือไม่เรื่องทายาททางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ นายอนุทิน หากรัฐบาลหน้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ 2 ปี แล้วอีก 2 ปีหลัง นายอนุทิน เป็นนายกฯ นั้น นายอนุทิน ตอบว่า “หากดูประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศไทยคนที่เป็นทายาททางการเมืองจะตายก่อน ซึ่งหากจำเป็นอะไรจะต้องทำตัวเองให้มีความพร้อม และทำความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ไม่ใช่ให้ใครมาตั้ง”

เมื่อถามว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ มีเวลา 2 ปีเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นที่มีเวลา 4 ปี มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์คนอื่นดีกว่า เพราะช่วงนี้เข้าใกล้การเลือกตั้งมาทุกที ตนคิดว่าสิ่งที่ต้องกังวลคือจะทำอย่างไรให้นโยบายพรรคภูมิใจไทยตรงใจประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้มากที่สุด

เมื่อถามอีกว่า หากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ ส.ส.น้อยกว่าพรรคภูมิใจไทย จะยอมให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หรือยึดตามหลักว่าพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากจะต้องเป็นนายกฯ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องดูผลของการเลือกตั้ง สุดท้ายแล้วจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากแค่ไหน

“หากจะพูดไปตอนนี้และเมื่อถึงเวลาไม่ได้ขึ้นมา ตนจะกลายเป็นเสียคำพูด ดังนั้นเวลาจะพูดอะไรต้องดูสถานการณ์ และดูความพร้อมว่าเราอยู่ในจุดไหน  และความจริงจะต้องมาถามตอนที่รู้ผลเลือกตั้ง” นายอนุทิน ย้ำ

ส่วนเรื่องจุดยืนจะต้องให้พรรคที่ได้อันดับหนึ่งหรือพรรคที่รวบรวมเสียงได้เป็นนายกฯ นายอนุทิน กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตยมีกติกาและมีมารยาทอยู่ ตนไม่กังวล ต้องรอให้ถึงวันนั้นก่อน

เมื่อถามย้ำว่า หากเป็นพรรคที่ไม่ได้อันดับหนึ่งแต่รวบรวมเสียงได้จะยอมรับได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนว่าต้องเป็นพรรคอันดับหนึ่งถึงจะเป็นนายกฯ หากเขียนอย่างนั้นก็จะมีความชัดเจน แต่รัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตยฝ่ายไหนได้เสียงข้างมากก็จะชนะ และไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเลือกนายกฯ เรื่องเดียว เรื่องการออกกฎหมายต่างๆ หรือการไม่ไว้วางใจด้วย

“ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอุ๊งอิ๊ง ตู่ หนู ป้อม ตุ๋ย มิ่ง และท๊อป  ก็ต้องหลังเลือกตั้งหมด” นายอนุทิน กล่าว

‘อนุทิน’ ไม่วิจารณ์ ‘ค่าแรง 600 บาท’ ชื่นชมคนคิด

ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี เริ่มต้นที่ 25,000 บาท ที่พรรคเพื่อไทยประกาศเป็นนโยบายเลือกตั้งครั้งหน้าว่า ฟังดูดี แต่จะทำได้จริงหรือเปล่าไม่รู้ คิดว่าจะต้องมีปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบ แต่ส่วนตัวขอชื่นชมคนที่คิดนโยบายนี้ที่มีความตั้งใจ ทำให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานมีความมั่นคง แต่ต้องดูว่า การขึ้นค่าแรงจะต้องมีคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งเห็นแล้วว่า มีทั้งกระแสที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว ซึ่งเท่าที่ติดตามดู พรรคเพื่อไทยได้ชี้แจงว่า จะทำตามขั้นตอนเป็นสเต็ป ถือว่าเป็นเรื่องนโยบายของแต่ละพรรค ไม่ขอก้าวก่าย

ขณะที่ภายในปี 2570 สถานการณ์จะเป็นไปตามเป้าที่พรรคเพื่อไทยกำหนดและขึ้นค่าแรงได้หรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า การขึ้นค่าแรง ต้องดูองค์ประกอบอื่นว่า ถ้าขึ้นค่าแรงแล้วต้นทุนการผลิตก็ต้องขึ้น คนที่ได้ค่าแรงเพิ่มก็ต้องมาซื้อของที่แพงขึ้น ต้องดูว่า การปรับขึ้นค่าแรง จะทำให้ชีวิตแรงงานดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ถามตนไม่ได้ เพราะพรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้เสนอนโยบายนี้ และเชื่อว่า พรรคที่เสนอเรื่องนี้คงมีโมเดล มีวิธีการ หรือมีความเชื่อและศึกษารายละเอียดมาแล้ว

“เราอย่าไปก้าวก่าย เขาอาจจะถือว่า Flagship Policy  หรือ นโยบายเรือธง ของพรรคเพื่อไทย ถ้าตนบอกว่า ดีหรือไม่ดี ในฐานะพรรคการเมืองด้วยกัน ตนจะพูดได้อย่างไร  ถ้าตนบอกว่าจะดูแลตอบแทนให้ อสม. เดี๋ยวคนจะมายุ่งว่าตนคิดคนเดียวอีก ซึ่งจะต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน” นายอนุทิน กล่าว