สธ.เพิ่มอีก 3 กลุ่มเป้าหมายใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปโควิด LAAB

กระทรวงสาธารณสุขขยายกลุ่มการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปโควิด LAAB อีก 3 กลุ่ม ครอบคลุม ผู้สูงอายุที่ยังไม่ฉีดวัคซีนหรือฉีดมาแล้วเกิน 6 เดือน และกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แจ้งแนวทางการใช้ Long-Acting Antibody (LAAB) หรือภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป สำหรับฉีดป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อโควิด-19 โดยขยายกลุ่มผู้ใช้ LAAB เพิ่มเติมอีก 3 กลุ่ม คือ

1.ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19

2.ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มสุดท้ายเกิน 6 เดือน

3.ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มสุดท้ายเกิน 6 เดือน

สำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องใช้ LAAB เดิม คือ

1.ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

2.ผู้ป่วยโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาหรือมะเร็งอวัยวะ (Solid tumor) ที่กำลังได้รับการรักษา หรือเพิ่งหยุดการรักษาภายใน 6 เดือน

3.ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ได้แก่ มี CD4 น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านเอซไอวี มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่จำนวน CD4 ไม่เพิ่มขึ้น หรือมีอาการแสดงของการติดเชื้อเอซไอวีที่มีอาการ

4.ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย (End-stage renal disease) ที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต ทั้ง hemodialysis และ peritoneal dialysis

5.ผู้ที่กำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกันหรือผู้ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

การฉีดป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ แนะนำให้ใช้ LAAB จำนวน 1 ครั้ง ครั้งละ 2 เข็ม (Tixagevimab 150 มิลลิกรัม และCilgavimab 150 มิลลิกรัม)

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขนำ LAAB หรือชื่อการค้า Evusheld มาฉีดเพื่อป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำและร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยวัคซีนจำนวนกว่า 6,300 ราย พบว่า มีความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

ผลการศึกษาวิจัยการใช้ LAAB ขนาด 600 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก และมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต พบว่า การให้เพื่อการรักษาภายใน 5-7 วันหลังมีอาการ สามารถลดการเกิดโรครุนแรงหรือเสียชีวิตได้ 50-67% และสูงถึง 88% ถ้าได้เร็วรับภายใน 3 วันหลังเริ่มมีอาการ จึงเป็นข้อสนับสนุนในการนำภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปมาใช้เพื่อการรักษาอีกทางหนึ่ง