คุยกับผู้บริหาร Qatar Airways จากโควิดทำเจ๊ง 1.2 ล้านล้าน สู่วันที่พร้อมโบยบินเต็มรูปแบบ

เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา สายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส (Qatar Airways) แต่งตั้ง ‘เบนเน็ต สตีเฟ่นส์’ (Bennet Stephens) เป็นผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดจีนคนใหม่

โดย เบนเน็ต มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมสายการบินมามากกว่า 25 ปี ทั้งยังได้เข้าประจำการและทำงานในประเทศและภูมิภาคที่หลากหลาย ตั้งแต่ตะวันออกกลาง ไปจนถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ปัจจุบัน ภายใต้บทบาทใหม่ เบนเน็ตมีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์

ทำความรู้จักผู้จัดการ Qatar คนใหม่

เบนเน็ตได้เริ่มทำงานกับสายการบิน Qatar ในปี 2561 ในตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสประจำภูมิภาคแอฟริกา จากนั้นเขาได้ย้ายไปประจำการที่ภูมิภาคตะวันออกกลางและคอเคซัสในตำแหน่งรองประธาน

ก่อนจะย้ายไปประจำการที่บ้านเกิดของเขาที่ประเทศออสเตรเลียในตำแหน่งผู้จัดการประจำภูมิภาคตะวันออกของออสเตรเลีย

สำหรับตำแหน่งใหม่ของเขาในครั้งนี้ เขามีหน้าที่รับผิดชอบด้านการปฏิบัติงานของสายการบิน Qatar ในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งรวมถึงกิจกรรมด้านการขายและการตลาด การบริหารงบประมาณและยอดขายโดยรวม

ตลอดจนการสนับสนุนทีมงานและจัดการการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับบริษัทคู่ค้า

ทั้งนี้ ก่อนจะมาร่วมงานกับสายการบิน Qatar เบนเน็ตเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำภูมิภาคของสายการบินชั้นนำระดับโลกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นเคแอลเอ็ม โรยัลดัตช์ แอร์ไลน์ โอมานแอร์ เคนยาแอร์เวย์ และมาเลเซียแอร์ไลน์

เบนเน็ต กล่าวว่า ‘ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ดำรงตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดจีนและยังได้ทำงานร่วมกับสายการบินที่ดีที่สุดในโลก’

เขาเสริมว่า ‘ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับทางทีมงาน เพื่อที่เราจะช่วยกันค้นหากลยุทธ์ใหม่ๆ ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกิจกรรมด้านการพาณิชย์ของเราภายในภูมิภาค และมอบประสบการณ์ความเป็นเลิศที่ไม่มีใครเทียบได้ให้แก่ลูกค้า ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นของสายการบินของเรา’

วันที่เสียหาย 1.2 ล้านล้านจากโควิด

ผู้จัดการของ Qatar แชร์ว่า ในช่วงโควิด-19 ธุรกิจสายการบินได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากที่หลายประเทศออกมาตรการจำกัดการเดินทางเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ส่งผลให้เที่ยวบินต่างๆ ไม่สามารถออกเดินทางได้

ในส่วนของสายการบิน Qatar มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2563-2564 ทั้งทางตรงและทางอ้อม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท

แต่ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูง แต่สายการบิน Qatar ก็ยังเดินหน้าให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

โดย เบนเน็ต ยกตัวอย่างมาตรการเลื่อนบัตรโดยสายของสายการบิน Qatar ซึ่งสามารถขอเลื่อนได้นานกว่า 2 ปีหลังจากวันที่ซื้อบัตร อีกทั้งยังขอเปลี่ยนจุดหมายปลายทางได้อีกด้วย

‘สมมติว่าคุณจะไปร่วมงานแต่งงานที่ประเทศหนึ่ง แต่ไม่สามารถเดินทางได้เพราะโควิด-19 ถึงหลังจากนั้นจะกลับมาเดินทางได้ คุณก็ไม่ต้องการไปที่นั่นอีกแล้ว’

นอกจากนี้ สายการบินยังมีมาตรการคืนบัตรโดยสาย (Refund Ticket) อันเนื่องมาจากโควิด-19 ซึ่งจ่ายคืนลูกค้าเต็มจำนวนด้วย

สู่วันที่กลับมาให้บริการเต็มรูปแบบ

ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน ธุรกิจสายการบินเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่ากับปี 2562 หรือเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว

‘เราเห็นการฟื้นตัวประมาณ 50% ในปีนี้ และคาดว่าปีหน้า Qatar Airways จะฟื้นตัวต่อเนื่องอีก 70%‘

ที่ผ่านมา Qatar Airways ทยอยเพิ่มเที่ยวบินอย่างต่อเนื่องให้เพียงพอกับความต้องการของผู้โดยสาร ล่าสุด สายการบินประกาศเปิดเส้นทางบินใหม่ QR835 จากกรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา และ QR979 จากภูเก็ต เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2566

ซึ่งจะส่งผลให้ Qatar มีบริการจากกรุงเทพฯ 4 เที่ยวบินต่อวัน และจากภูเก็ค 3 เที่ยวบินต่อวัน เพื่อเชื่อมต่อผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางกว่า 150 แห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นลอนดอน แมนเชสเตอร์ แฟรงก์เฟิร์ต ปารีส ซูริก นิวยอร์ก ฯลฯ

และหากสถานการณ์ของธุรกิจการบินกลับมาดีขึ้นในปี 2566 สายการบิน Qatar ก็จะพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินเพิ่มเติมอีกครั้ง

ความท้าทายของสายการบินในปี 66

ถึงอุตสาหกรรมการบินจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่อง แต่ก็มีปัจจัยแวดล้อมที่ต้องระวัง เช่น ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวขึ้นเท่าตัว จากระดับประมาณ 60 เหรียญต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 120 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ

เบื้องต้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมายังอยู่ในระดับที่ Qatar ประเมินเอาไว้แล้ว และยังสามารถรับมือได้ แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

นอกจากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการจำกัดการเดินทาง เพราะยังมีบางประเทศที่ใช้มาตรการปิด-เปิดประเทศเพื่อควบคุมสถานการณ์โควิด-19

กลับมาเปิดเลานจ์ที่สุวรรณภูมิแล้ว

วันนี้ Qatar Airways กลับมาเปิดให้บริการห้องรับรอง (Lounge) อีกครั้ง สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจของ Qatar และ oneworld ที่เดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ

ห้องรับรองสามารถมองเห็นวิวสวนของสนามบินและสถาปัตยกรรมของอาคารผู้โดยสารภายนอก อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้บริการผู้โดยสารก่อนการเดินทาง ทั้งห้องอาบน้ำ ชุดอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกโดยแบรนด์น้ำหอมชื่อดังของประเทศฝรั่งเศสอย่าง Diptyque

ภายในห้องรับรองมีพื้นที่รับประทานอาหาร 2 ส่วน คือ The Brasserie สำหรับการรับประทานอาหารอย่างเป็นทางการที่นำเสนออาหารนานาชาติอันหลากหลายจากเมนูอาหารตามสั่ง

อีกส่วนคือ The Global Deli สำหรับการรับประทานอาหารสไตล์บุฟเฟ่ต์ที่มีความผ่อนคลายมากกว่า เมนูบุฟเฟ่ต์ประกอบไปด้วยอาหารจานร้อนและเย็น และอาหารเรียกน้ำย่อยสไตล์อาหรับ ทาบูเลห์ ฮัมมูส และมูฮามารา

นอกจากเลานจ์ให้บริการผู้โดยสารแล้ว Qatar Airways ยังร่วมมือกับเชฟ ‘เอียน กิตติชัย’ ครีเอตเมนูอาหารไทยเพื่อผู้โดยสารที่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ และภูเก็ด ประกอบไปด้วยอาหารเรียกน้ำ จานหลัก และของหวาน ซึ่งจะให้บริการสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ

ความภูมิใจในฐานะ Airline of the Year

Qatar Airways ถูกประกาศให้เป็น ‘สายการบินแห่งปี’ (Airline of the Year)’ ประจำปี 2565 โดยสกายแทร็กซ์ (SKYTRAX) ซึ่งเป็นองค์กรจัดอันดับสายการบินระดับนานาชาติ นับเป็นครั้งที่ 7 หลังจากได้รางวัลไปเมื่อปี 2554 2555 2558 2560 2562 และ 2564

นอกจากนี้ สายการบิน Qatar ยังได้รับรางวัลสำคัญอื่นๆ อีก 3 รางวัล ได้แก่ ‘ชั้นธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก’ (World’s Best Business Class) ‘อาหารในห้องรับรองสายการบินชั้นธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก’ (World’s Best Business Class Lounge Dining)’ และ ‘สายการบินที่ดีที่สุดในตะวันออกกลาง’ (Best Airline in the Middle East)