‘มงคลกิตติ์’ ก้มกราบลาสภาผู้แทนฯ อ้อนขอกลับมาทำหน้าที่ ส.ส.ครั้งหน้า อภิปรายนายกฯ บริหารก่อทุจริต 4 ข้อ

‘มงคลกิตติ์’ ก้มกราบลาออกหลังได้ทำหน้าที่ ส.ส. อ้อนขอกลับมาขอทำหน้าที่อีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า พร้อมอภิปรายนายกฯ บริหารงานก่อทุจริต 4 ประเด็น

ในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ นายมงคลกิตติ์ สุขสิทธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อภิปรายในสี่ประเด็น โดยประเด็นแรก เป็นเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ โดยพบว่าประชาชนมีหนี้สาธารณะสูงที่สุดหากเปรียบเทียบย้อนหลังไปอีกหลายๆ รัฐบาล 

ประเด็นที่สอง ปัญหายาเสพติดมีจำนวนมาก สาเหตุมาจากมีการให้เงินสินบนยาเสพติด จึงทำให้ยาเสพติดไม่หมดไปจากประเทศไทย เพราะการจับยาเสพติดของเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ทั้งผลงานและสินบน ยึดเงินยาเสพติดมาใช้เอง ส่งให้รัฐบางส่วน และยาบางส่วนส่งทำลายเผาทิ้ง บางส่วนนำมาขายต่อ  

ประเด็นที่สาม การพัวพันทุจริต e-bidding โดยเงินบางส่วนเอาไว้ใช้ในการเลือกตั้ง ทั้งนี้ภาครัฐมีการประมูลแบบ e-bidding หลายโครงการ เช่นการประมูลงานที่ จ.บุรีรัมย์ การก่อสร้างถนนลาดยาง  เป็นงานไม่เกินสองล้านบาท มีคนซื้อแบบเป็นร้อย แต่มีแค่สองเจ้าที่แข่งกัน และไม่ได้เป็นแค่โครงการเดียวมีอีกหลายโครงการที่เป็นเช่นนี้ สงสัยหรือไม่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ในอดีตเรียกว่าการ “ฮั้ว”​ แต่ปัจจุบันเป็นการทุจริตแบบรวมศูนย์  มีเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง รู้เห็นเป็นใจ มีการบอกรหัส ถามว่าเรื่องนี้นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังไม่รู้ จะมีใครเชื่อบ้าง แต่ผู้รับเหมารู้ทั้งประเทศ แต่ไม่กล้าเพราะกลัวติดคุก

ทั้งนี้นายมงคลกิตติ์ ได้แสดงการโยงเงินที่ทุจริตมาจาก e-bidding ว่าเงินไปทางไหนบ้าง ท้ายที่สุดเข้ามาสู่กระบวนการซื้อโต๊ะจีนของพรรคการเมือง 

นายมงคลกิตติ์ กล่าวถึงกรณีเงินส่วยบ่อนออนไลน์​ โดยได้แสดงภาพของคนในคดีบ่อนออนไลน์ พร้อมระบุว่ามีความสัมพันธ์กับประธาน ป.ป.ง.ที่เพิ่งยื่นใบลาออกไป จึงอยากตั้งข้อสังเกตในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีปฏิเสธว่าไม่รู้จัก ประธาน ป.ป.ง.

ประเด็นที่สี่ การขายแผ่นดินบรรพบุรุษ หรือ ขายชาติ มาจากกฎหมายให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยได้ เมื่อเกิดกระแส จึงยกเลิกไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันว่าจะขัดขวางอย่างถึงที่สุด มีใครเชื่อบ้างว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีการทุจริต 

จากนั้น นางบุญญาพร นาตะธนภัทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ประท้วง โดยระบุว่า นายมงคลกิตติ์อภิปรายใส่ร้ายป้ายสี นายกรัฐมนตรี เพราะยังไม่มีหลักฐาน ขอให้ถอนคำพูดว่าทุจริต 

ด้าน นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า การทำหน้าที่ในสภาที่ผ่านมา แม้อาจจะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และยังมีข้อบกพร่องอยู่ แต่ในหัวใจคิดอยู่อย่างเดียว คือ จะทำอย่างไรให้ประชาชน 66 ล้านคน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขอขอบคุณประธานสภาผู้แทนราษฎรทุกคน เพื่อน ส.ส. ซึ่งอีกสองวันข้างหน้า คือวันที่ 17 ก.พ. 2566 จะคืนอำนาจประชาธิปไตยที่ประชาชนมอบให้ 4 ปีเต็ม เพื่อคืนให้ประชาชน เพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้ง 7 พ.ค.2566 ยืนยันว่ามีพร้อมด้านกำลังกาย ความรู้ เพื่อทุ่มเทการทำงานให้กับประชาชน ให้ประเทศไทยดีกว่าเดิม ขอกราบประชาชนทั้งหมด 66 ล้านคน ที่ให้โอกาสพรรคไทยศรีวิไลย์และตนเองได้เข้ามาทำงาน 

ในตอนท้าย นายศุภชัย โพธิ์ศุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ระบุว่า ที่จริงช่วงท้ายไม่ได้เกี่ยวกับญัตติที่อภิปราย แต่เห็นว่าไม่ได้นอกประเด็นไปจึงอนุญาต

ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ กล่าวว่า สิ่งที่อภิปรายจะเป็นเรื่องที่มองเห็นว่าคณะรัฐมนตรีต้องทำอะไรและไม่ต้องทำอะไร โดยกรณีก่อสร้างทางด่วนที่ผ่านมาเคยมีกรณีที่รัฐแพ้ต้องจ่ายค่าชดเชย จึงกังวลว่าอาจจะมีกรณีค่าโง่ซ้ำขึ้นมาอีก รวมถึงประชาชนใช้บริการทางด่วนในราคาที่แพง ซึ่งรัฐบาลต้องรับผิดชอบร่วมกัน 

จึงอยากถามข้อเท็จจริงอยากให้นายกรัฐมนตรีตอบว่าการที่รัฐบาลเอาเรื่องในอดีตว่าจะแพ้มาต่อสัญญา สิ่งที่ศาลปกครองบอกว่าทำให้สาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน ทุกคนได้ใช้ ค่าผ่านทางถูกลง แต่กลับขึ้นราคาต่อเนื่อง ประชาชน 23 คน มีความกล้าหาญที่ไปร้อง เมื่อศาลปกครองตัดสินแล้วการต่อสัญญา เป็นอำนาจกฎหมาย ไม่ใช่อำนาจทางปกครอง  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายมี ส.ส.รัฐบาล อาทิ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะ เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาที่อภิปรายซ้ำกับเรื่องเดิมที่เคยอภิปรายมาแล้ว