SHARE

คัดลอกแล้ว

บลจ.กสิกรไทย แนะนำการลงทุนในปี 2566 ยังต้องกระจายความเสี่ยงต่อเนื่อง พร้อมประกาศแผนธุรกิจปีนี้ อยากเป็นแบรนด์กองทุนอันดับ 1 ในใจนักลงทุน ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 1.55 ล้านล้านบาท

‘อดิศร เสริมชัยวงศ์’ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการลงทุนในปี 2566 คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ แต่น่าจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพราะรอดูแนวโน้มเงินเฟ้อข้างหน้าก่อน

แต่จุดที่น่าสนใจคือ ทุกครั้งที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย จะช่วยให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ขยับขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจังหวะที่น่าสนใจเข้าลงทุน

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระวัง เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แม้จะเสี่ยงลดลงแล้ว แต่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นอยู่ รวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากนัก

ดังนั้น ยังต้องเลือกลงทุนและระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับตลาดที่ยังน่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นจีน เพราะได้ผลบวกจากความต้องการซื้อที่ถูกอั้นไว้ (Pent Up Demand) จากช่วงที่ล็อคดาวน์เพราะโควิด-19 คาดว่าจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) ราว 1.5%

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยนโยบายที่ยังปรับลง ส่งผลให้จีนสามารถคุมอัตราเงินเฟ้อได้ ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานตลาดหุ้นจีนจะกลับขึ้นมา ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง ลงทุนจุดนี้มีโอกาสขาดทุนค่อนข้างน้อย

ถัดมาคือตลาดหุ้นเวียดนาม ได้ปัจจัยบวกจาก GPD ที่แนวโน้มยังเติบโตสูงกว่าหลายประเทศ เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบ กระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ยังไหลเข้าต่อเนื่อง มูลค่าตลาด (Valuation) ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ 1,000 จุด (เป้าหมาย 1,200 จุด) และกำไร บจ.ปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 12%

แม้ว่าตอนนี้จะยังแกว่งออกข้าง (Sideways) หลังดีดตัวขึ้น (Rebound) ประมาณหนึ่งแล้ว แต่ยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อในอนาคต จากคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะได้ยกระดับเป็น Emerging Markets ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้กองทุนต่างๆ ต้องเพิ่มน้ำหนักลงทุน

นอกจากจีนและเวียดนาม ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจในปีนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรป ความน่าสนใจเริ่มลดน้อยลง จึงแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มดังกล่าว

ส่วนมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะเห็นการปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2566 หลังไตรมาส 4 ปี 2565 ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ขณะที่ Fund Flow คาดว่าจะยังเห็นแรงขายอยู่บ้าง แต่เริ่มน้อยลง หลังสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลงมากแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีหวังจากการเลือกตั้งที่คาดว่าจะจัดขึ้นในเดือน พ.ค. ซึ่งจากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นไทยมักจะปรับขึ้นก่อนการเลือกตั้งประมาณ 1-3 เดือน

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยประเมินเป้าหมายดัชนี SET (SET Index) ที่ 1,800 จุด และแนวรับที่ 1,600 จุด โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากกลุ่มท่องเที่ยว แต่ยังมีความเสี่ยงเรื่องกำไร บจ.และมูลค่า (Valuation) ของตลาด

อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทยยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้น ‘เท่ากับตลาด’ (Neutral) เท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้น เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักจากจุดที่นักลงทุนถืออยู่

ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตลาดตราสารหนี้ แนะนำซื้อ ‘กลุ่มระดับลงทุน’ หรือ Investment Grade เท่านั้น เพราะกลุ่มผลตอบแทนสูง (High Yield Bond) ยังมีความเสี่ยงอาจเกิดการผิดนัดชำระหนี้ได้

ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย ตอนนี้สะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตที่ระดับ 2.00-2.25% ไปแล้ว มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจและอยู่ในระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้

ขณะที่สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) เช่น ทองคำ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ยังแนะนำว่าควรมีติดพอร์ต โดยสัดส่วนพอร์ตลงทุนแนะนำ (ความเสี่ยงปานกลาง) ได้แก่ หุ้น 60% (หุ้นต่างประเทศ 85% และหุ้นไทย 15%) ตราสารหนี้ 30% และสินทรัพย์ทางเลือก 10%

ที่สำคัญคือ ควรใช้หลักกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงสินทรัพย์เดียว และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด

โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนผสม ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายที่เน้นกระจายการลงทุน ได้แก่ K-GINCOME, K-PLAN2 และ K-PLAN3

ส่วนคนที่อยากลงทุนเป็นรายกองเพื่อเพิ่มสัดส่วนให้กับพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง ก็สามารถลงทุนในกองทุนที่สอดรับกับเศรษฐกิจปีนี้ได้ เช่น กองทุนหุ้นต่างประเทศ K-CHANGE และ K-CHINA กองทุนหุ้นไทย K-STAR และกองทุนตราสารหนี้ K-SF

ซึ่งนักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนผ่านการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average: DCA) ผ่าน App K-My Funds เพื่อเป็นการฝึกวินัยทางการเงินและส่งเสริมให้เกิดความมั่งคั่งในอนาคต

สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ ซีอีโอบอกว่า บลจ.กสิกรไทยอยากเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า Top of Mind Investment House พร้อมกับให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน (ESG) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการช่วยยกระดับตลาดทุนไทย และเปิดโอกาสให้นักลงทุนมีความมั่งคั่งจากการลงทุนในกองทุนรวม

 

หากคิดเป็นการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) คาดว่าจะเติบโตขึ้นไปอยู่ที่ 1.55 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10% จากการเติบโตของกองทุนรวมส่วนบุคคล (Private Fund) 12% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) 31% รวมถึงการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์

ถ้าพูดถึงกลยุทธ์ปี 2566 บลจ.กสิกรไทยจะให้ความสำคัญใน 5 ด้าน คือ

1. มุ่งสร้างผลตอบแทน ด้วยการต่อยอดและพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ

2. สร้างความน่เชื่อถือ ผ่านการให้คำแนะนำที่หมาะสมและทันต่อเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา

3. ดูแลคู่ค้าอย่างเข้าใจ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตามโจทย์ของคู่ค้าแต่ละราย เพื่อนำไปเสนอขายให้ตรงใจนักลงทุน

4. บริหารพอร์ตให้กับนักลงทุนสถาบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และสภาพคล่องให้กับลูกค้าสถาบัน

5. ตัวช่วยวางแผนเกษียณ นำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายเกษียณให้แก่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

โดยทุกกลยุทธ์จะทำคู่กับเรื่อง ESG ครอบคลุมลูกค้าทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งกองทุนรวม (Mutual Fund) กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงตัวแทนผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของ บลจ.กสิกรไทย

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมามีนักลงทุนซื้อกองทุนผ่านช่องทางดิจิทัลทั้ง K-PLUS และ K-My Funds จำนวน 357,086 ราย คิดเป็นสัดส่วน 43% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด และคิดเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ในทุกช่องทาง 136,842 ราย

ขณะที่ AUM ล่าสุด (ณ สิ้นปี 2565) อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาทแบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 9.93 แสนล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.34 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.88 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า