LH Bank ขยายฐานลูกค้าไต้หวันต่อในปีนี้ รับเทรนด์ธุรกิจโยกฐานการผลิตออกจากจีน

LH Bank ยังขยายพอร์ตสินเชื่อลูกค้าไต้หวันต่อในปีนี้ รับเทรนด์ธุรกิจย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังไทยและประเทศในภูมิภาค

‘ฉี ชิง-ฟู่’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG เจ้าของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) กล่าวถึงสถานการณ์สินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างต่างประเทศ (Trade Finance) ท่ามกลางแนวโน้มการส่งออกของไทยที่ชะลอตัวลงว่า

แม้การส่งออกของไทยที่ดูไม่ค่อยดีนักในปีนี้ (2566) จะเป็นปัจจัยกดดันธุรกิจ Trade Finance ก็ตาม แต่ก็ยังเห็นโอกาสเติบโตจากเทรนด์การย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนออกจากจีนแผ่นดินใหญ่มายังไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

ส่งผลให้ธนาคารฯ คาดว่า พอร์ตธุรกิจ Trade Finance ที่มีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาทในปัจจุบัน จะเติบโตต่อเนื่องแตะ 15,000 ล้านบาท โดยมาจากการเติบโตทั้งในกลุ่มลูกค้าเดิมของธนาคาร และกลุ่มลูกค้าไต้หวันของผู้ถือหุ้นใหญ่ (CTBC Bank)

สำหรับกลุ่มลูกค้าไต้หวัน แม้ว่าสิ้นปี 2565 จะมีสัดส่วนเพียง 4% เมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร แต่กลับมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 4.6 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 8.9 พันล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 95%

ซึ่งในนี้คาดว่าจะยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องอีกประมาณ 70% ไปอยู่ที่ระดับ 15,000 ล้านบาท แน่นอนว่าปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนของลูกค้าธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยง

รวมถึงการขยายบริการไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี จากปัจจุบันลูกค้า Trade Finance กระจุกอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) เช่น ยานยานต์และสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน

เมื่อถามถึงเป้าหมายของธุรกิจธนาคารในปีนี้ เอ็มดีของ LHFG คาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 8-10% ชะลอตัวลงจากปีก่อนที่เติบโตสูงถึง 20.8% จากการขยายตัวของสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อ SMEs

แม้ว่าปีนี้ธนาคารฯ มีแผนจะขยายพอร์ตสินเชื่อรายย่อยที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นก็ตาม แต่ยังคงระมัดระวัง โดยเน้นโฟกัสลูกค้ารายย่อยที่เป็นกลุ่มรายได้ปานกลาง รวมถึง SMEs ขนาดกลางที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือกลุ่มที่มีรายได้ต่อปีระหว่าง 100-500 ล้านบาท

ส่วนเป้าหมายอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของรายได้ คาดว่าจะอยู่ที่ 10-12% ใกล้เคียงกับปีก่อน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (NII) คาดว่าจะอยู่ที่ 10-12% ชะลอตัวลงจากปีก่อนที่ 13.9% รายได้ค่าธรรมเนียม คาดว่าจะอยู่ที่ 10-15% จากปีก่อนที่หดตัว 12%

ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ตั้งเป้ารักษาไว้ในระดับที่ต่ำกว่า 45% ส่วนต่างรายได้ต่อดอกเบี้ย (NIM) คาดว่าจะอยู่ที่ 2.3-2.4% ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่หนี้เสีย (NPL) คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5% ได้เช่นเดียวกับปีก่อน

นอกจากนี้ LH Bank ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในธุรกิจธนาคาร (Sustainable Banking) โดยตั้งเป้าหมายว่าพอร์ตสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (ESG) จะเติบโตแตะ 2-2.5% ภายในปี 2570

ในวันเดียวกัน LHFG ยังประกาศทิศทางของอีก 2 ธุรกิจการเงินในเครือ ได้แก่ ธุรกิจกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) ที่ตั้งเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) จะเติบโตแตะ 8.4-8.5 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 7.5 หมื่นล้านบาท

โดยแบ่งเป็นการเติบโตจากกองทุนรวมส่วนบุคคล (Private Fund) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD) ประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่วนอีก 5,000 ล้านบาท เป็นการเติบโตจากกองทุนรวม Mutual Fund

ขณะที่ธุรกิจโบรกเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) เตรียมพัฒนาระบบเชื่อมกับโมบายแบงก์กิ้ง LHB You ของแบงก์ เพื่อเพิ่มช่องทางบริการและขยายฐานลูกค้ารายย่อย โดยปัจจุบันแอปฯ ดังกล่าวมียอดผู้ใช้งานประมาณ 10,000 ราย แบ่งเป็น Active User 60,000 ราย