ปัญหาหมอกควันไฟป่าส่งผลกระทบรุนแรงทางภาคเหนือ วิสัยทัศน์ในการมองต่ำทำให้สายการบินนกแอร์ไม่สามารถนำเครื่องลงจอดที่สนามบินได้ สุดท้ายต้องประสานของจอดที่สนามบินพิษณุโลกแทน ขณะที่รัฐบาลเร่งเปิดปฏิบัติการฝนหลวงพร้อมแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ‘เชียงใหม่-แม่สอด’ แล้ว
ข้อมูล (คพ.) พบว่าทุกจังหวัดภาคเหนืออยู่ในระดับสีแดง จ.ตาก พบจุดความร้อนมากที่สุด 367 จุด รองลงมาคือ จ.อุตรดิตถ์ 200 จุด และจ.น่าน 188 จุด หมอกควันที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ส่งผลกระทบต่อการบินพาณิชย์ วานนี้ (2 มี.ค. 2566) เที่ยวบิน DD.190 ของนกแอร์ลงจอดไม่ได้เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ได้ นักบินได้บินบนหลายรอบแต่ลงจอดไม่ได้ จึงตัดสินบินนำผู้โดยสารไปลงที่ท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลก
จังหวัดวิกฤตตั้งรับหมอกควันไฟป่า
นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ประกาศให้ 9 อำเภอ สร้างการรับรู้ เน้นย้ำการปฏิบัติตามประกาศจังหวัดพิษณุโลก เรื่อง กำหนดเขตควบคุมไฟป่า และขอความร่วมมือห้ามเผาโดยเด็ดขาด60 วัน ตามประกาศจังหวัดไปจนถึงวันที่ 16 เม.ย.นี้
เช่นเดียวกับ จ.เชียงใหม่ สถานการณ์ไฟป่าและฝุ่นควันมีแนวโน้มที่สูงขึ้น จุดความร้อนส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่โซนใต้ของจังหวัด ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันเชียงใหม่ จึงให้งดการบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามระบบ FireD ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวน ส่วนพื้นที่เกษตรและพื้นที่ทำกินให้อยู่ในอำนาจของนายอำเภอพิจารณาอนุญาต
นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิด 5 แผนปฏิบัติการดับไฟลดฝุ่น คือ
- ทำแนวกันไฟ ให้มากที่สุด
- ป้องปรามการเผาทุกพื้นที่
- หากมีการเผาเกิดขึ้น เร่งดับให้ได้ภายในวันนั้น
- ไฟที่ลุกลามเป็นวงกว้าง ให้ระดมกำลังคน รถน้ำ และเฮลิคอปเตอร์ เข้าดับให้เร็วที่สุด
- เฝ้าติดตามความชื้นในอากาศ เมื่อพร้อม ให้เร่งทำฝนหลวงทันที โดยกำหนดเป้า ให้มีฝนตกทุก 15 วัน
ข้อมูลรายงานคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) พบว่าทุกจังหวัดภาคเหนืออยู่ในระดับสีแดง สูงสุดที่ ต.ธานี จ.สุโขทัย 224 มคก.ต่อลบ.ม. ขณะที่จุดความร้อนล่าสุด จ.ตาก ก็ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีจุดความร้อนมากที่สุด 367 จุด รองลงมาคือ จ.อุตรดิตถ์ 200 จุด และจ.น่าน 188 จุด
เปิดปฏิบัติการฝนหลวงพร้อมแก้ปัญหา PM2.5 ‘เชียงใหม่-แม่สอด’
และวันนี้ (3 มี.ค. 2566) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ติดตามความพร้อมของหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ใน 5 ภูมิภาค จำนวน 7 ศูนย์ เพื่อเข้าแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่มีค่าเกินมาตรฐาน รวมถึงเข้าช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้ง สร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ การป้องกันการเกิดไฟป่าและบรรเทาปัญหาหมอกควัน ซึ่งทุกหน่วยมีความพร้อมขั้นสูงสุด และสามารถออกปฏิบัติการในทุกโอกาสเมื่อสภาพอากาศเหมาะสม
เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับเรื่องขอรับบริการจากพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดกำแพงเพชร ตาก ลำปาง อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ และภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา และระยอง แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกปฏิบัติการได้ เนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสม เช่น ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยระดับปฏิบัติการ มีค่าต่ำกว่า 60% อากาศมีเสถียรภาพ ส่งผลให้เมฆไม่ก่อตัวในพื้นที่เป้าหมาย หรือกลุ่มเมฆในพื้นที่เป้าหมายไม่เข้าเงื่อนไขการปฏิบัติการ
สำหรับแนวทางการปฏิบัติการฝนหลวงให้มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ของสภาพอากาศและความต้องการน้ำในแต่ละพื้นที่ของประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีอากาศยานทั้งหมด 30 ลำ ประกอบด้วย อากาศยานของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน 24 ลำ และอากาศยานของกองทัพอากาศ จำนวน 6 ลำ
สถานการณ์ PM2.5 รุนแรงช่วงวันที่ 1 – 7 มี.ค. 2566
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยให้ความสำคัญกับการดูแลและป้องกันสุขภาพของประชาชน เนื่องจากเมื่อรับสัมผัส PM2.5 เข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการตั้งแต่อาการเล็กน้อยจนถึงการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ อาจมีอาการกำเริบและเสี่ยงที่จะมีอาการทรุดหนักได้
จากการเฝ้าระวังอาการและพฤติกรรมในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM2.5 ด้วย “4 Health_PM2.5” พบว่าในช่วงวันที่ 21 – 28 กุมภาพันธ์ 2566 มีผู้ที่มีอาการจากการรับสัมผัส PM2.5 ร้อยละ 68.3 โดยอาการที่พบมากที่สุด คือ คันตา ร้อยละ 23.3 รองลงมาคือ แสบตาและแสบจมูก ร้อยละ 20 และคัดจมูก ร้อยละ 16.7
กรมอนามัยขอแนะนำให้ประชาชนตรวจเช็กค่าฝุ่นและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM2.5 โดยหากค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้ม หรือมีค่า 51 – 90 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประชาชนทั่วไปควรลดหรือจำกัดการทำกิจกรรมนอกอาคาร เปลี่ยนมาออกกำลังกายในอาคาร สวมหน้ากากป้องกันฝุ่นเมื่อออกนอกอาคาร ผู้มีโรคประจำตัวควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม
“หากค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีแดง หรือมีค่า 91 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป ประชาชนทั่วไปควรลดหรืองดการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายนอกอาคาร เปลี่ยนมาออกกำลังกายในอาคาร สวมหน้ากากป้องกันฝุ่นเมื่อออกนอกอาคารทุกครั้ง สำหรับกลุ่มเสี่ยงให้งดออกนอกอาคาร ผู้มีโรคประจำตัวควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างน้อย 5 วัน นอกจากนี้ ประชาชนควรเฝ้าระวังตนเองด้วยการประเมินอาการจากการรับสัมผัส PM2.5 พร้อมรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นได้ที่เว็บไซต์ “4HealthPM2.5” หรือ เว็บไซต์ “คลินิกมลพิษออนไลน์” และหากมีอาการรุนแรง เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย หายใจมีเสียงหวีด ให้รีบไปพบแพทย์ ทั้งนี้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมอนามัย 1478 หรือกรมควบคุมโรค 1422” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว