SHARE

คัดลอกแล้ว

“การถูกพูดถึงในแง่ลบ อย่างน้อยก็ดีกว่าการไม่ถูกพูดถึงเลย”

 

หลักการตลาดง่ายๆ ที่ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที เพราะการที่หากเราทำหรือเราเคลื่อนไหวสักครั้ง แต่กลับไม่ถูกพูดถึงเลย ย่อมเท่ากับ “การถูกลืม”

 

พรรคท้องถิ่นนิยมไม่ใช่เรื่องใหม่ ประเทศไทยเริ่มแบ่งแยก “พรรคคนเหนือและอีสาน – พรรคคนใต้” มาตั้งแต่ยุคสมัยการแข่งขันของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย ชวน หลีกภัย ตัวแทนของคนภาคใต้ และพรรคไทยรักไทยนำโดย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีฐานที่มั่นจากภาคเหนือและภาคอีสาน วาทกรรมประเภท “จังหวัดไหนเลือกเรา เราจะพัฒนาก่อน” หรือ “คนใต้ถ้าประชาธิปัตย์เอาเสาไฟลงก็ไปเลือก” จึงถูกพูดต่อกันอย่างสนุกปาก

 

ความชัดเจนเริ่มเด่นชัดขึ้นเมื่อถึงยุคทศวรรษ 2550 เป็นยุคการเมืองแบบสองพรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์และพรรคที่มีความเกี่ยวข้องกับทักษิณ (ไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย) จนเหมือนว่าแค่สองพรรค ก็กินสัดส่วนของประเทศไปเกือบร้อยละ 80 ดังนั้นพรรคที่มีขนาด SMEs หลายพรรค จึงปรับตัวกลายเป็นพรรคท้องถิ่นนิยม คือเน้นรักษาพื้นที่ของตนเอง เน้นนโยบายที่จะผลักดันการแปรงบประมาณลงมาพัฒนาจังหวัด เพื่อที่จะสร้างความผูกพันกับฐานเสียง และเลือกกลับมาเป็น ส.ส. อีกครั้ง

ไม่ว่าจะประกาศชัดเจนเป็น “พรรคพลังชล” ของกลุ่มตระกูลคุณปลื้ม ในการเลือกตั้งปี 2554 ที่เจาะฐานภาคตะวันออก โดยเฉพาะฐานที่มั่นชลบุรี หรือพรรคที่ไม่ได้ประกาศแต่ก็แสดงให้เห็นว่า ตัวเองเน้น ส.ส. ในพื้นที่ที่ควบคุมได้ มีความหวังมีความสัมพันธ์มายาวนาน เช่น พรรคชาติไทยพัฒนา ที่เป็นตัวแทนของเกษตรกรภาคกลางที่มีฐานที่มั่นในสุพรรณบุรี พรรคชาติพัฒนากล้า ที่นำโดย สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ตัวแทนกลุ่มโคราชผนึกกำลังกับ กรณ์ จาติกวณิช และพรรคประชาชาติ ของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ที่เน้นพื้นที่ชายแดนใต้ ย่อมทำให้เห็นสายสัมพันธ์ของพรรคการเมืองท้องถิ่นและพื้นที่ชัดเจนมากขึ้น

 

และพรรคเหล่านี้กลับประสบความสำเร็จในการจับมือร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถึงแม้จะมี ส.ส. ในมือจำนวนไม่มาก เช่น พรรคชาติพัฒนา (เดิม) ที่ได้ ส.ส. เพียงแค่ 3 ที่นั่ง แต่หัวหน้าพรรคอย่าง เทวัญ ลิปตพัลลภ ได้รับการแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีว่าการสำนักนายกรัฐมนตรี หรือพรรคชาติไทยพัฒนา ที่มีที่นั่งเพียง 10 ที่ แต่ได้ถึง 2 เก้าอี้รัฐมนตรี คือ วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนเลขาธิการพรรคอย่าง นายประภัตร โพธสุธน ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการกลับไปช่วยเหลือฐานเสียง เช่น พรรคชาติไทยพัฒนา ที่มีฐานเสียงส่วนใหญ่จากเกษตรกรภาคกลาง ไม่ว่าจะเป็น อ้อย ข้าว หรือมันสำปะหลัง ก็มักจะออกนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรในท้องที่ที่เป็นฐานเสียงสำคัญ

 

การเลือกตั้งปี 2566 ที่กำลังจะถึงนี้ จึงเป็นอีกความท้าทายว่าพรรคเหล่านี้ จะยังอยู่รอดในเชิงการเมืองได้หรือไม่ กลุ่มพลังชล โดยฝั่ง สนธยา คุณปลื้ม ย้ายจากพรรคพลังประชารัฐกลับไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพื่อหาโอกาสชนกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งอดีตเอง สุชาติ ก็เป็น ส.ส. ของพรรคพลังชลเก่า ก่อนจะย้ายมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ และตามมาเป็นกำลังสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ ในพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ครั้งนี้ สุชาติ ขออาสาพาพรรคปักธงชลบุรี ด้านพรรคพลังชลเดิมก็แปลงสภาพเป็น “พรรคพลังบูรพา” โดยมี นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรค ดูแลพรรคต่อไป และลดบทบาทลง รอบนี้จึงกลายเป็นศึกสายเลือดของคนกันเองอดีตพรรคพลังชล

 

ส่วนพรรคประชาชาติที่แต่เดิมนั้นเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในครั้งนี้ถือว่าเป็นความท้าทายตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมาในปี 2561 เพราะผลสำรวจจากนิด้าโพลในสามจังหวัดชายแดนใต้ในหัวข้อ “คนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เลือกพรรคไหน” ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อกุมภาพันธ์ 2566 ปรากฏว่า รองจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 2 ร้อยละ 17.55 ระบุ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) เพราะมีประสบการณ์ในการทำงาน เป็นคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่ามีลุ้นกันเลยทีเดียว ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ผลักดันเรื่องสำคัญที่มีผลต่อกลุ่มมุสลิมในท้องที่จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งจุดยืนชัดเจนในการค้าน พ.ร.บ. กัญชา ที่ขัดต่อหลักศาสนา หรือการผลักดัน พ.ร.ก. อุ้มหายซ้อมทรมาน ที่มักจะเกิดในพื้นที่ชายแดนเช่นกัน ซึ่งในครั้งนี้ต้องจับตาว่าจะเข้าร่วมกับการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่

 

ด้านกลุ่มโคราช พรรคชาติพัฒนากล้าของนายสุวัจน์ ในครั้งนี้ได้ภาพความสดใหม่และภาพตัวแทนของคนเมืองหลวงจากกลุ่มพรรคกล้าของ กรณ์-อรรถวิชช์ ก็จริง แต่หากจะหวังพื้นที่ในกรุงเทพฯ นั้น คงจะยาก นอกจากได้กระแสพรรคในกลุ่มปาร์ตี้ลิสต์ที่กรณ์เป็นหัวหน้าพรรค แต่ถ้าจะหวัง ส.ส. พื้นที่ โคราชนั้นยังคงเป็นความหวัง เพราะครั้งนี้มีให้ชิงชัยถึง 16 ที่นั่ง แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในสนามเลือกตั้งที่ดุเดือด ถึงแม้ทางพรรคจะหวังว่าจะได้ถึง 25 ที่นั่งทั้งประเทศ แต่เป็นเพียงตัวเลขเชิงจิตวิทยา เพราะฐานเดิมนั้นมีเพียง 3 ที่นั่ง ดังนั้นแค่รักษาฐานที่มั่นในโคราชก็ถือว่าเป็นงานหนัก และคงหนีไม่พ้นการเป็นพรรคหลักหน่วย โดยชูนโยบายมอเตอร์เวย์ทั่วไทย หลังล่าสุดมีการเปิดใช้มอเตอร์เวย์สายโคราช โดยหวังจะเชื่อมโคราชเข้ากับประเทศไทย

ส่วนอดีตพรรคที่เคยใหญ่และกลายเป็นพรรค SME อย่าง “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่มีฐานที่มั่นสุพรรณบุรี ที่ครั้งที่ผ่านมาได้แบบยกจังหวัด 4 เขต อานิสงส์ส่งให้ วราวุธ ศิลปอาชา เมื่อพลิกขั้วกลับมาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรค ได้เป็นถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในครั้งนี้สุพรรณบุรีเพิ่มเป็น 5 เขต วราวุธก็มั่นใจว่า “บรรหารบุรี” แห่งนี้ก็จะยกจังหวัดอีกครั้ง เนื่องจากตระกูลศิลปอาชาร่วมพัฒนาจังหวัดนี้มายาวนาน แต่ก็ยังไม่วายมีดราม่าตีท้ายครัว

 

สงครามคนกันเองในเมืองสุพรรณบุรีนั้น เมื่อมีหลายพรรคหวังมาแบ่งเค้ก เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติที่ได้ตัวของ “ชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ” น้องชายของ “ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ” ส.ส. สุพรรณบุรี เขต 2 ชาติไทยพัฒนา ซึ่งสร้างความหมางใจกันให้กับตระกูลศิลปอาชาเจ้าถิ่น กับพรรคลุงตู่ที่ร่วมรัฐบาลกันมา 4 ปี  จึงประกาศชัดเจนว่าจะต้องปกป้องสุพรรณบุรีทั้ง 5 เขตไว้ให้ได้

 

ตัวแปรสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ต้องจับตามากที่สุดก็คือ “กระแสแลนด์สไลด์” จากพรรคเพื่อไทย ที่ไม่แน่อาจจะพาผู้สมัครโนเนมให้กลายเป็น ส.ส. จากกระแสพรรคปราบพลังพรรคท้องถิ่นได้ราบคาบ ถึงขนาดบ้านใหญ่ชลบุรียังขอมาพึ่งพลังในการชนกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังนั้นเมื่อกระแสพรรคใหญ่โหมดัง กลายเป็นว่าที่ยืนของพรรคท้องถิ่นนิยมดูจะน้อยลงไปเรื่อยๆ

 

ไม่ว่าจะจบการเลือกตั้งที่หลักหน่วยหรือหลักสิบ แต่ใครจะรู้ว่าหากต้องการจะฟอร์มจัดตั้งรัฐบาลแล้ว พรรคเหล่านี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญในการเข้าร่วมรัฐบาล อย่างที่ “โทนี่ วูดซัม” พูดในรายการพอดคาสต์ ว่าถ้าหากจะจัดตั้งรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นชื่อแรกๆ ที่ทักษิณเลือกที่จะพูดถึง

 

หากการเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองและผลักดันผลประโยชน์ การที่พรรคการเมืองจะเป็นตัวแทนของท้องถิ่นเพื่อผลักดันวาระเฉพาะพื้นที่นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก สูตรสำเร็จของพรรคท้องถิ่นนิยมนั้นอาจจะเป็นแค่การที่ไม่ต้องเด่นดัง ได้ ส.ส. จำนวนหนึ่งที่มากพอที่จะต่อรอง แต่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเรื่อยๆ เพื่อผันงบลงจังหวัดและรักษาฐานเสียงให้ไม่หายไปจากหน้าสื่อทางการเมือง ก็คงเพียงพอแล้ว

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า