SHARE

คัดลอกแล้ว

จบไปแล้วสำหรับ The Last of Us ซีรี่ส์ความยาว 9 ตอนจาก HBO ที่ดัดแปลงมาจากหนึ่งในวิดีโอเกมที่ดีที่สุดตลอดกาล และได้เสียงตอบรับในแง่บวกอย่างมากมายตั้งแต่ตอนแรกที่ออกฉาย

ในฐานะแฟนเกมนี้ ที่ยกให้เป็น 1 ใน 3 เกมที่ชอบที่สุด ผู้เขียนคงสรุปแบบสั้นๆ ได้ว่า “ไม่ผิดหวัง” สำหรับเรื่องราว The Last of Us ในแบบฉบับคนแสดง 

แม้ว่าโครงเรื่องหลักจะยกมาจากเนื้อเรื่องของเกมเกือบทั้งหมด แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้น ผู้สร้างได้ทำการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ทำให้ผู้ที่เคยเล่นเกมมาแล้วได้ดูเนื้อหาที่แตกต่างออกไปบ้าง 

ส่วนผู้ชมทั่วไปก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงเนื้อเรื่องหลัก ที่ทำให้เกมนี้ได่รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก จนถึงปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงอยู่ แม้ว่าเกม The Last of Us เวอร์ชั่นแรกจะออกมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วก็ตาม 

ภาพโปรโมตเกม The Last of Us

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน สื่อบันเทิงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวหลังวันสิ้นโลก (Apocalypse) โดยเฉพาะโลกที่เชื้อแพร่กระจายจนเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายซอมบี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เลย การจะทำเนื้อเรื่องให้ออกมาถูกใจผู้ชมนั้น ต้องมีความโดดเด่นอย่างมาก

โดย The Last of Us ได้เล่าถึงโลกที่มนุษย์ถูกเชื้อรากลายพันธ์เข้าเล่นงาน ทำให้ความรู้สึกนึกคิดหายไป เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ ที่มีชีวิตเพื่อไล่กัดมนุษย์คนอื่นและทำการแพร่พันธุ์ต่อไปเรื่อยๆ  

ส่วนผู้ที่เหลือรอดก็มีหลากหลาย ทั้งผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ควบคุมโดยทหาร ผู้ที่จับกลุ่มรวมกับพลเรือนด้วยกัน ผู้ที่ต่อต้านการควบคุมของทหาร และผู้ที่อยู่อย่างสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

กลุ่มคนเหล่านี้นอกจากจะต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากผู้ติดเชื้อ (Infected) แล้ว ยังต้องคอยระวังอันตรายจากมนุษย์ด้วยกันเอง ที่พร้อมจะแก่งแย่งเพื่อให้กลุ่มของตนเองมีชีวิตรอดต่อไป

ตัวละคร เอลลี รับบทโดย เบลลา แรมซีย์

ในตอนนั้น The Last of Us ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างโลกที่ “จริง” มากๆ ออกมา แสดงให้เห็นทั้งด้านดีและด้านมืดของมนุษย์ ตัวละครแต่ละตัวมีความซับซ้อนในตัวเอง ไม่มีใครที่เป็นคนดีหรือชั่วแบบ 100%

จุดเด่นอีกเรื่องคือพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครหลัก ทั้ง โจเอล รับบทโดย เปโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) และ เอลลี่ รับบทโดย เบลลา แรมซีย์ (Bella Ramsey) ที่ตอนแรกดูจะไม่ค่อยถูกกัน แต่ต้องจับพลัดจับผลูมาเดินทางร่วมกัน

หลังจากที่ดูจบทั้ง 9 ตอนแล้ว ซีรี่ส์ The Last of Us สามารถนำพาข้อดีจากเวอร์ชั่นเกมมาได้แทบทั้งหมด ถ่ายทอดฉากสำคัญต่างๆ ได้ครบถ้วน อีกทั้งยังมีการเสริมเนื้อหาบางส่วนเข้าไปนอกเหนือจากเกม ซึ่งทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น

การแสดงของ 2 นักแสดงหลักก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้ง เปโดร ปาสคาล และ เบลลา แรมซีย์ ต่างก็ถ่ายทอดความเป็นโจเอลและเอลลี่ในแบบตนเองได้อย่างไร้ที่ติ 

ต้องบอกว่าส่วนที่ยากที่สุดในการเล่าเรื่อง The Last of Us คือการทำให้คนดูรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของโจเอลและเอลลี่ ต่อให้ผู้สร้างจะทุ่มทุนมหาศาลไปกับฉากต่างๆ มากเท่าไหร่ แต่ภาพรวมจะออกมาดีไม่ได้เลย หากคนดูไม่รู้สึกถึงความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครนี้

ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจนัก ที่หลังฉายตอนสุดท้ายซีรี่ส์แล้ว The Last of Us ยังคงได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยจากเหล่านักวิจารณ์สูงถึง 96% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes และคะแนน 9/10 บนเว็บไซต์ IMDb

 

(Spoiler Alert – ข้อความต่อจากนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ The Last of Us)

(ซ้าย) ตัวละคร ซาราห์ มิลเลอร์ รับบทโดย นิโค ปาร์คเกอร์ (ขวา) ตัวละคร โจเอล มิลเลอร์ รับบทโดย เปโดร ปาสคาล

The Last of Us เป็นซีรี่ส์ที่ได้เสียงตอบรับในแง่บวกอย่างมากตั้งแต่ EP แรกที่ออกฉาย ส่วนสำคัญคือการการเพิ่มบทของซาร่าห์ (ลูกสาวโจเอล) มากขึ้นจากต้นฉบับ และค่อยๆ บอกใบ้ถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะแตกต่างจากในเกม ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบปุบปับ อยู่ดีๆ ก็มีผู้ติดเชื้อไล่กัดคนตามท้องถนนเลย

เช่นเดียวกับเรื่องความรักของตัวละครชายรักชายอย่างบิลล์และแฟรงค์ ใน EP ที่ 3 ของซีรี่ส์ ที่เอาตัวประกอบในเกม ซึ่งไม่ได้มีบทเยอะเท่าไหร่มาเล่าเพิ่ม แสดงให้เห็นถึงความรักความอบอุ่นของคน 2 คน ภายหลังจากที่โลกล่มสลายไปแล้ว และเป็นการทำโดยที่ยังคงความเคารพต้นฉบับเดิมเอาไว้ได้

สำหรับส่วนเสริมที่ดีที่สุด คงต้องยกให้เป็น EP 9 ในฉากที่แม่ของเอลลี่ถูกผู้ติดเชื้อกัดในระหว่างคลอดลูก ก่อนที่เธอจะตัดสายสะดือออก เป็นการเฉลยที่มาที่ไป ว่าทำไมเอลลี่ถึงมีภูมิคุ้มกันจากเชื้อรา โดยส่วนนี้แม้แต่ผู้ที่เล่นเกมมาแล้วก็ยังไม่เคยทราบมาก่อน 

อีกทั้งยังอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมาร์ลีน ผู้นำกลุ่ม FireFlies กับเอลลี่ ซึ่งเป็นลูกสาวเพื่อนสนิท ฉายภาพว่าเธอต้องลำบากใจแค่ไหน ที่ต้องยอมอนุญาตให้แพทย์ผ่าสมองเอลลี่ในฉากจบของเรื่อง 

การเล่าเรื่องเสริมนี้เองที่เป็นจุดเด่นมากๆ ของซีรี่ส์ The Last of Us ที่แม้จะยึดโครงเรื่องมาจากเกมแบบเป๊ะๆ แต่ก็มีการขยายความในเรื่องต่างๆ เข้ามา ทำให้เนื้อเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

โดยรวมแล้วการลดทอน/เพิ่มเติมเนื้อหาต่างๆ ในซีรี่ส์ ถือว่าทำออกมาได้ดี แม้จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ตรงที่มีการตัดฉากแอคชั่นออกไปพอสมควรก็ตาม โดยเฉพาะช่วงหลังจาก EP 5 ที่ฝูงผู้ติดเชื้อโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินแล้ว เราแทบจะไม่ได้เห็นความน่ากลัวของผู้ติดเชื้อในเรื่องอีกเลย 

ส่วนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลและเอลลี ที่เป็นแกนหลักที่สำคัญมากๆ ของ The Last of Us 

การที่โจเอลต้องสูญเสียลูกสาวไป ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป จนถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา โจเอลก็ยังไม่สามารถ Move on จากเรื่องนั้นได้

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาคือการได้เจอกับเด็กสาวอย่างเอลลี่ ที่อยู่ในวัยเดียวกับลูกสาวของเขาตอนเสียชีวิต ต้องผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน และค่อยๆ รักษาจิตใจของโจเอลให้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง

ใน EP สุดท้าย โจเอลได้เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้เอลลี่ฟัง และเอลลี่พูดขึ้นมาว่า “เวลาคงช่วยเยียวยาทุกสิ่งมั้ง”

คำตอบของโจเอลคือ “ไม่ใช่เวลาหรอกที่เยียวยา” ก่อนจะมองไปยังเอลลี่ เหมือนจะสื่อว่า เอลลี่นี่แหละที่ช่วยเยียวยาให้กับเขา นับเป็นการคลายปมในใจที่เขาต้องเผชิญกับมันมาตลอด 20 ปี 

แต่คล้อยหลังไม่นาน โจเอลกลับพบว่า การที่จะนำภูมิคุ้มกันของเอลลี่มาทำเป็นวัคซีนเพื่อช่วยมนุษยชาตินั้น จำเป็นต้องนำเชื้อในสมองของเอลลี่ออกมา ซึ่งการผ่าตัดเอาเชื้อออกมา จะเป็นการฆ่าเอลลี่ไปด้วย

สำหรับในมุมมองของคนดู ตอนจบของเรื่องอาจมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ

1.ยอมปล่อยให้ผ่าสมองเอลลี่ นำเชื้อมาสร้างวัคซีนที่อาจจะช่วยโลกนี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

2.ช่วยชีวิตเอลลี่ ด้วยการบุกเข้าไปช่วยที่ห้องผ่าตัด และสังหารทุกคนที่ขวางหน้า

แต่ในมุมมองของโจเอลที่เพิ่งจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ไม่นาน แต่กำลังจะถูกพรากเอลลี่ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไป แน่นอนว่าสำหรับโจเอลแล้ว เขามีเพียงทางเลือกเดียว คือทางเลือกที่ 2 เท่านั้น 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า