บริษัอสังหาฯ ใหญ่อีกราย ‘สิงห์ เอสเตท’ เปิดแผนปี 2566 ลุยเปิดโครงการใหม่ครบทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม กวาดรายได้ปี 2565 ไปราว 13,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 62% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 17,000 ล้านบาท
ปี 2022 ‘สิงห์ เอสเตท’ ประสบความสำเร็จจาก 4 กลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ที่อยู่อาศัยที่ได้เปิดตัวโครงการ ศิรนินทร์ เรสซิเด้นซ์ บ้านเดี่ยวหรูย่านพัฒนาการ ซึ่งยอดขายตอบรับดีมาก ยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์ปีที่แล้วของโครงการนี้ สูงถึง 77% และ 30%
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาคารสำนักงาน ที่เปิดให้เช่าพื้นที่อีกหลายแห่ง ครบทั้งพื้นที่ออฟฟิศและรีเทล รวมถึงธุรกิจโรงแรม บริษัทสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจนี้ได้เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ สุดท้ายคือธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจทั้งหมดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
มาถึงปี 2023 ‘สิงห์ เอสเตท’ ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องทุกพอร์ตธุรกิจ ผ่านแนวคิด “S EXCELS” ดันรายได้รวมจาก 4 ธุรกิจสูงขึ้นไปอีก 34% จากปีก่อน รวมมูลค่าราว 16,700 ล้านบาท ด้วยงบลงทุนราว 6,000-7,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย
1.) ธุรกิจที่อยู่อาศัย
ธุรกิจอสังหาฯ ส่งสัญญาณดีต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัวโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ ไปเมื่อปีที่แล้ว ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ตามรอยรุ่นพี่โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ปีนี้เตรียมเปิดโครงการบ้านแนวราบใหม่อย่างน้อย 5 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท
ที่น่าสนใจคือปีนี้ บริษัทจะพัฒนาบ้าน Segment ใหม่ ในกลุ่ม Luxury Class ระดับราคา 15-30 ล้านบาท และกลุ่ม Luxury premium ระดับราคา 30-50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการหรู ลักษณะเป็น Cluster Home ขายที่ดินก่อนแล้วสร้างบ้านภายหลัง เริ่มต้นราคาหลังละประมาณ 550 ล้านบาท สูงกว่าโครงการอื่นๆ ที่เคยทำมา ปักหมุดทำเลใจกลางเมืองโซนสุขุมวิท
ทางด้านคอนโดมิเนียมก็เตรียมเปิดขายเช่นเดียวกัน โดยสิงห์ เอสเตทจะขยายสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 จะรับรู้รายได้และกำไรได้เต็ม 100% คาดว่าโครงการที่พักอาศัยในปีนี้ โดยรวมจะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70%
2.) กลุ่มอาคารสำนักงานและการค้า
กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ฟื้นตัวดีเช่นเดียวกัน บริษัทใช้โมเดลธุรกิจ Right sizing มีขนาดพื้นที่ให้เช่าหลากหลายและพร้อมใช้งาน เข้าใจกลุ่มผู้เช่าในยุคปัจจุบันที่ต้องการความบาลานซ์ สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ครบ ปี 2566 นี้ตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy) สูงกว่า 90% ในทุกโครงการ
ไม่ว่าจะเป็นโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์, ซันทาวเวอร์ส และ S-Metro รวมถึงโครงการอาคารสำนักงานล่าสุดอย่าง S-Oasis บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์กลางธุรกิจที่เปี่ยมศักยภาพแห่งใหม่ พร้อมเซ็นสัญญาผู้เช่ารายใหญ่ในไตรมาส 2 ปีนี้
3.) กลุ่มโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดดเด่นและเป็นเบอร์สองของประเทศไทยที่สามารถทำรายได้ได้สูงสุด โดยปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้ทะลุเป้า 8,700 ล้านบาท จากการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยว อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 28% จากปีก่อนหน้า
โรงแรมในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 แห่ง ราว 800 กว่าห้อง คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อนหน้า ส่วนรายได้จากโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างประเทศ อย่างมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% รวมถึงในประเทศอื่นๆ อีกหลายแห่ง คาดรายได้รวมแตะ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20% ตั้งเป้าปีนี้อัตราการเข้าพักรวมต้องเพิ่มขึ้น 75%
ในช่วงปลายปีจะมีการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 6 ดาว ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ในระยะยาวจะช่วยสร้างกำไรให้กับบริษัทฯ ได้ในอีกทางหนึ่.
4.) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
ปิดท้ายกันที่กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77 ไร่ และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในปี 2566 เตรียมพร้อมโตก้าวกระโดดด้วยยอดการโอนที่ดินเพิ่มเป็น 2 เท่าตัว
บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม S-อ่างทอง เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยอ่างทองเป็นจังหวัดที่มีวัตถุดิบครบ อยู่บนเส้นทางการลำเลียงระหว่างภาคเหนือและภาคกลาง ในขณะที่ราคาที่ดินไม่แพงจนเกินไป ตั้งเป้าให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมด้านอาหาร สะอาดและไม่เป็นมลพิษ
ทั้งหมดนี้คือ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท หนึ่งในคีย์สำคัญคือการจับมือพันธมิตรทั้งภายในและภายนอก สร้างแต้มต่อทางธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาได้เรียนรู้กลยุทธ์มาจากบริษัทแม่ โดยนำมาปรับใช้กับธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม เพื่อให้เร็วสู้ตลาดได้ ปรับตัวได้ไว (Speed to market)
พร้อมทั้งกำลังก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Flex space บริษัทมีแผนร่วมมือกับผู้ประกอบการชั้นนำซึ่งมีสาขาครอบคลุมศูนย์กลางทางธุรกิจสำคัญ และมีระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเริ่มพัฒนาโครงการ Flex Space ในอาคารสำนักงานของบริษัทฯ เป็นลำดับแรก
ส่วนเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่บริษัทไม่เคยมองข้าม ได้ผสานนวัตกรรม Clean Energy เข้ามาใช้ในโครงการ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของโรงแรมในเครือ SHR ทั้งในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ร่วมมือกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน รวมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว 3 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
บริษัทมีแผนขยายการใช้พลังงานสะอาดไปยังโครงการอื่นๆ ในอนาคต พร้อมก้าวสู่ Carbon Neutral ภายในปี 2030 สร้าง Biodiversity และให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ความยั่งยืนทั้งหมดนี้จะช่วยให้ ‘สิงห์ เอสเตท’ สามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอดระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้