SHARE

คัดลอกแล้ว

รายงานการศึกษาล่าสุดของยูนิเซฟ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยและได้รับการเผยแพร่ในวันนี้ ระบุว่า เด็กในประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเด็กในจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ นครศรีธรรมราช และนราธิวาส คือกลุ่มที่เผชิญความเสี่ยงสูงสุด 

วันที่ 28 มีนาคม 2566 ยูนิเซฟเปิดตัวรายงานการศึกษา การประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมต่อเด็กในประเทศไทย ซึ่งเป็นรายงานฉบับแรกในประเทศไทยที่ศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อเด็กเป็นการเฉพาะ โดยจำแนกตามจังหวัด รายได้ ความพิการ และอายุ รายงานดังกล่าวยังนำเสนอดัชนีความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศของเด็ก (Child-Sensitive Climate Risk Index) ซึ่งสะท้อนปัจจัยต่าง ๆ ในประเทศไทย ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ อากาศร้อนจัด ความหนาวเย็น น้ำท่วม ภัยแล้ง รวมทั้งการมีสถานบริการสุขภาพและบริการสังคมในแต่ละจังหวัด เพื่อสนับสนุนภาครัฐบาล ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจในการจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและชุมชน

รายงานดังกล่าวระบุว่า ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อเด็กในประเทศไทย คือ ภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง และอากาศร้อนจัด  ซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การแพร่กระจายของเชื้อโรค และความไม่มั่นคงทางอาหาร ปัญหาดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ พัฒนาการ และความเป็นอยู่ของเด็ก ซึ่งมีความเปราะบางต่อภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากพวกเขามีระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาทที่อ่อนแอกว่า อีกทั้งยังต้องพึ่งพิงผู้ใหญ่ในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นอยู่โดยรวม

นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการ องค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย กล่าวในงานแถลงผลการศึกษาชิ้นนี้ ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยยูนิเซฟและกรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่า “ทุกวันนี้ เราเห็นผลกระทบของน้ำท่วม ภัยแล้ง ฝุ่นมลพิษ และสภาพอากาศร้อนจัดในประเทศไทยอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจของเด็ก และกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว ทำให้เด็ก ๆ เสี่ยงที่จะไม่สบาย ขาดเรียน หรือเข้าไม่ถึงบริการต่าง ๆ ที่จำเป็น ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ การขาดสารอาหาร ความเครียด และความตื่นตระหนก หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตได้ เราอาจพูดได้ว่าภาวะเหล่านี้กำลังพรากอนาคตของเด็ก ๆ ไป อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสิทธิเด็ก แต่กลับยังไม่ได้รับความสนใจและการแก้ไขเท่าที่ควร”

รายงานดังกล่าว ระบุว่า เด็กแต่ละกลุ่มกำลังเผชิญผลกระทบจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยเด็กจากครอบครัวยากจน เด็กในชนบท เด็กพิการ และเด็กโยกย้ายถิ่นฐาน คือกลุ่มที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุด

รายงานของยูนิเซฟเมื่อปี 2564 จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 163 ประเทศที่เด็กมีความเสี่ยงสูงสุดต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  นอกจากนี้ รายงาน The Coldest Year of the Rest of their Lives: Protecting Children from the Escalating Impacts of Heatwaves ของยูนิเซฟ ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ชี้ให้เห็นว่า ในปี 2563 เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในประเทศไทย จำนวน 10.3 ล้านคน หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 75 ของเด็กทั่วประเทศต้องเผชิญคลื่นความร้อนที่เกิดบ่อยครั้งขึ้น และหากยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง เด็กเกือบทุกคนในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนสูงบ่อยครั้งขึ้นและยาวนานขึ้นภายในปี 2593

รายงาน การประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมต่อเด็กในประเทศไทย ได้เสนอแนะแนวทางการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเด็กในประเทศไทย ดังนี้

  • นโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องให้ความสำคัญกับเด็ก โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ และต้องมีมาตรการที่จะปกป้องพวกเขาจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม
  • ส่งเสริมความตระหนักรู้ ความรู้ และทักษะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการดูแลสิ่งแวดล้อมให้แก่เด็ก ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่ากำลังได้รับผลกระทบอย่างไร และจะมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาได้อย่างไร
  • เสริมสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง ผ่านการเสริมสร้างความรู้และทักษะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนการเตรียมความพร้อม การป้องกัน และการตอบสนองต่อภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาระบบเตือนภัยและเฝ้าระวังที่มีประสิทธิผลและทันต่อเหตุการณ์ ที่ทุกคนรวมทั้งเด็กในกลุ่มเปราะบางที่สุด สามารถเข้าถึงและปฏิบัติตามได้ง่าย
  • สร้างพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วม ในการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตัวเอง 

ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 27 หรือ COP 27 ที่จัดขึ้นในประเทศอียิปต์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนมีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดยเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มีพาวิลเลียนและเวทีถกเถียงในประเด็นนี้เป็นของตัวเอง ที่ซึ่งพวกเขาได้เรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจเพิ่มความมุ่งมั่นและลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริงเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก

ในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้เปิดตัว U-Report ซึ่งเป็นแชทบอทในแอพพลิเคชัน LINE ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แบ่งปันแนวคิดและแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา จากการสำรวจความคิดเห็นเยาวชนจำนวน 517 คน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พบว่า เกินครึ่งหนึ่งของเยาวชนที่ตอบแบบสอบถามบอกว่าพวกเขามีความรู้แค่ระดับพื้นฐานหรือแทบไม่มีความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเลย และร้อยละ 63 บอกว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องรับมือภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างไร

ในปี 2566 นี้ คณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติจะให้ข้อคิดเห็นทั่วไป (General Comment no.26) ด้านสิทธิเด็กและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอ้างอิงจากเสียงของเด็กและเยาวชนในชุมชนต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ข้อคิดเห็นทั่วไปนี้มุ่งเน้นให้รัฐบาลทั่วโลกมีมาตรฐานสากลในการปกป้องสิทธิเด็กจากผลกระทบของวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม

นางคิมกล่าวเสริมว่า “ทุกคนและทุกภาคส่วนของสังคมล้วนมีบทบาทในการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่ออนาคตของเด็กในวันนี้และเพื่อโลกที่อยู่อาศัยได้ในวันพรุ่งนี้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเผยแพร่ข้อมูลและข้อเท็จจริง และที่สำคัญที่สุดคือ การให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับเด็กทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า