บทสัมภาษณ์ ชีวิตและความหลงใหลในศิลปะการเต้นของ ‘ครูเบิร์ด’ ทายาท ‘สมบัติ เมทะนี’ หนึ่งในกรรมการชิงช้าสรรค์ 2023

บทสัมภาษณ์ ชีวิตและความหลงใหลในศิลปะการเต้นของ ‘ครูเบิร์ด’ ทายาท ‘สมบัติ เมทะนี’ หนึ่งในกรรมการชิงช้าสรรค์ 2023

ครูเบิร์ด ผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์ ดร. สุรินทร์ เมทะนี ที่ได้ฉายาว่า เป็นเจ้าพ่อวงการแดนซ์บนจอทีวี ซึ่งรายการ ชิงช้าสวรรค์ 2023 ที่ดำเนินมาจนจะถึงรอบไฟนอลในวันเสาร์นี้ (6 พ.ค 66) ครูเบิร์ด ได้เข้ามาเป็นหนึ่งกรรมการด้านการเต้น

ครูเบิร์ด เป็นทายาทของพระเอกตลอดกาล อย่าง สมบัติ เมทะนี แม้ว่าจะไม่มีคนรู้เรื่องราวนี้มากนัก ปัจจุบันครูเบิร์ดยังดำรงตำแหน่ง คณบดี คณะอุสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต

ครูเบิร์ดเป็นคนเอเชียคนแรกที่ออดิชันได้ทุนเข้าไปเรียนใน Victorian College of the Arts ที่โด่งดังในเรื่อง Contemporary dance อันดับต้น ๆ ของโลกในช่วงนั้น  และกลับมาเป็นบุคลากรคุณภาพในวงการเต้นของไทยที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเต้นไทย ที่มีลายเซ็นคือความเป็นครีเอทีฟ

TODAY PLAY พาไปพูดคุย ถึงตลอดเส้นทางในวงการ เรื่องราวชีวิตและความหลงใหลในศิลปะการเต้นของ ‘ครูเบิร์ด’

วัยเด็กที่เปิดโลก จุดเริ่มต้นรักการเต้น

การเติบโตในครอบครัวของวงการบันเทิง ที่ทำให้รักในการแสดง แต่การเข้าไปเป็นนักแสดง ยังห่างไกลความชอบของครูเบิร์ดอยู่มาก การที่ได้เห็นคุณพ่อ ที่โด่งดังในวัยเด็ก แล้วมีคนมารุมเยอะ ๆ ทำให้ครูเบิร์ดมองว่านี่คงไม่ใช่ทางของตัวเอง และค้นพบว่าตัวเองชอบการเคลื่อนไหว ชอบการเต้น จากการครูพักลักจำบนจอทีวี และฝึกรำ เต้นระบำ และมีโอกาสได้เข้าไปแสดงละครเวที เรื่องสโนว์กับคนแคระทั้ง 7 คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่เข้าสู่นักเต้น นักแสดงอาชีพตั้งแต่วัยเด็ก จากตรงนี้ทำให้ครูเบิร์ดไปรู้จักกับบุคคลในวงการบันเทิงอย่าง ป้าแดง รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง และอาจารย์สดใส

หนึ่งข้อความบนกระดาษที่เปลี่ยนชีวิต

ในวัยมัธยม ครูเบิร์ดเข้าเรียนที่โรงเรียนชายล้วน โรงเรียนเทพศิรินทร์ เมื่อมีรายงานจะต้องแปลภาษาอังกฤษจากข่าว จากการแปลตรงนี้ทำให้ครูเบิร์ดได้พบกับครูบุคคลสำคัญ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ศาสตร์ของบัลเลต์ และพื้นฐานนาฎศิลป์สากล

“มีให้ทำรายงานแปลภาษาอังกฤษจากข่าว เราก็ไปแปลภาษาอังกฤษอยู่อันหนึ่ง พอแปลไปมันกลายเป็นว่า รับสมัครนักเต้นชายเรียนฟรี ปรากฏว่าคนที่ลงเขียนตรงนั้น คือ มาดามเดมอน ท่านคือครูสอนบัลเล่ต์ที่อพยพตามสามีมาอยู่ที่เมืองไทย แล้วท่านก็เป็นอาจารย์สอนพระราชวงศ์ทุกพระองค์เลย หลังจากนั้นท่านก็เปิดโรงเรียนสอนบัลเลย์เล็ก ๆ นะครับ ช่วงนั้นนักเต้นชายค่อนข้างจะขาด ท่านก็เลยเปิดเป็นสตูดิโอแล้วก็รับสมัคร ตอนนั้นเราวัยประมาณ 15 ปี ก็อยู่ในเกณฑ์พอดีเลย เราก็ไปที่บ้านท่านที่เอกมัย ปรากฏว่าไปทางนี้ ไปเรียนตลอดเลย เพราะว่ามันได้กระโดด มันได้เต้น มันได้หมุน เรียนกับท่านอยู่ยาวช่วงเวลาหนึ่งเลย เราก็เลยมีศาสตร์นี้ติดตัวมา เราก็กลายเป็นว่าหลงใหลด้านนี้ ชอบหมดเลย ทั้งรำ ทั้งเต้น จริง ๆ จะไปเข้าวิทยาลัยนาฎศิลป์ อยากเป็นหนุมานด้วย แต่พอมาเจอบัลเล่ต์ เห้ย มันก็ได้เหมือนกันเนาะ พอมาเจอเพลงอะไรที่มันเต้นอย่างนี้ เตะขาได้ด้วย มันไม่มีขนบในการห้ามใด ๆ เราก็เลยชอบ พอไปพื้นฐานนาฎศิลป์สากล มันก็เลยยาว”

จุดเปลี่ยนพลิกผันของชีวิตที่ทำให้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ศาสตร์ด้านการเต้นอย่างจริงจังของครูเบิร์ด เริ่มจากการได้เข้ามาทำงานที่ช่อง 3 จากการรู้จักกับป้าแดง รัตนาภรณ์ และถูกชักชวนมาเล่นละครเวทีเรื่องเจ้าหญิงสายรุ้ง

“ตอนนั้นไปช่อง 3 หนองแขม พอเราไปถึงมันอเมซิ่งมาก เพราะว่าห้องส่งเขาเนี่ย เรื่องนี้เกี่ยวกับผี เรื่องนี้เกี่ยวกับตลาด มันสร้างขึ้นมาหมดเลย และเรื่องนี้ก็สร้างเป็นเมืองเจ้าหญิงเจ้าชาย เราก็รู้สึกชอบ เพราะเราได้เปลี่ยนแปลงเป็นอีกคน มีเต้น แล้วก็มีแสดงเราชอบ ปรากฏว่าที่นั่นมีโรงเรียนการแสดง ที่ช่อง 3 ชั้น 4 ก็เลยไปดูและมองว่า อันนี้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่เราไปหาอาจารย์สดใสได้ ไม่ต้องไปหาที่อักษรจุฬาฯ ก็ได้ มาหาที่นี่ก็ได้ ก็ตั้งเป้าไว้เลย พอจบ ม.6 ปั๊บ ก็ไม่สอบเข้ามหาลัยไหน ๆ เลย ตั้งใจมาที่ช่อง 3 นี้เลย แต่ก่อนก็เหมือนบ้าน AF เหมือนบ้าน The Star คนคัดเลือกเยอะมาก เราก็สู้จนเป็นหนึ่งใน 20 แล้วเขาไปเรียน เป็นนักเรียนการแสดงรุ่นที่ 7 ถ้ารุ่นนั้นที่คนรู้จักก็จะเป็น ปูโลกเบี้ยว”

หลังจากเรียนที่โรงเรียนสอนการแสดงช่อง 3 ได้ 1 ปี ครูเบิร์ดถูกทาบทามให้เป็นครูสอนการแสดงที่นั่น และถูกส่งไปเรียนด้านการสอนที่ต่างประเทศ และกลับมาทำงานในฝ่ายอบรมศิลปินที่ช่อง 3 รวมไปถึงการได้เข้าไปทำฝ่ายผลิตรายการ และร่วมเปิดโรงเรียน สถาบันสอนเต้น

เจ้าพ่อวงการแดน์บนจอทีวี

จนถึงวันที่ตามคุณพ่อไปถ่ายรายการที่ เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ครูเบิร์ดได้ไปเจอกับสถาบัน Victorian College of the Arts โดยบังเอิญ ซื่งในตอนนั้นสอน Contemporary dance ซึ่งมีชื่อเสียงมาก เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และออดิชันได้เป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้เข้าไปเรียน และได้รับทุนจากสถาบัน จึงทำให้ครูเบิร์ดไปเรียนอยู่ที่นั่น 3 ปี และกลับมาโลดแล่นในวงการในฐานะเจ้าพ่อวงการแดน์บนจอทีวีอย่างเต็มตัว

“ช่วงนั้นเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกันเนี่ย ส่วนมากก็ไปเต้นแกรมมี่ ไปคอนเสิร์ต จังหวะดีที่เราได้มาทำมิสยูนิเวิร์ส ซึ่งตอนนั้นบริษัท JSL เป็นผู้จัด ก็ได้ไปเต้นอยู่ในกองมิสยูนิเวิร์ส ก็เลยได้มาทำรายการ พอ JSL มีรายการอะไรที่เป็นรายการทีวี เขาก็จะให้เราทำตลอดเลย เราเริ่มจากการเป็นแดนซ์เซอร์ก่อน ก็จะเต้นประจำ จนกระทั่งคนทำตอนนั้น สตอร์ม วอคเกอร์ แกกลับประเทศไป เป็นฝรั่ง สมัยก่อนโคโรกราฟคนไทยหาได้น้อย น้อยมาก พอเขากลับไปทางรายการก็บอกว่า อ่ะ ถึงเวลาที่ยูต้องเติบโตแล้ว เลยได้ทำตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ อยู่เลยครับ รู้สึกว่าจะยังไม่ถึง 25 เลยตอนนั้นน่ะ ก็ได้เป็นโคโรกราฟแล้ว ก็ได้ประสบการณ์จากที่เรียนช่อง 3 มาด้วย การออกแบบท่าเต้นในรายการทีวี มันมีรูปแบบเฉพาะ เราต้องรู้มุมกล้อง ต้องรู้ว่าอะไรยังไง ก็ทำงานอยู่กับรายการทีวีมายาวนานมาก ตอนหลังก็มีบริษัทโพลีพลัส แม้แต่เวิร์คพอยท์เองตอนหลังก็ตามมา ก็ได้มาทำที่เวิร์คพอยท์เหมือนกัน ในคอนเสิร์ตคุณพระช่วยอะไรแบบนี้นะครับ ก็ทำมาเรื่อย ๆ เลย”

การดีไซน์งานบนจอทีวี

“ครูจบปริญญาโทด้วยการทำวิจัยเรื่อง การออกแบบนาฎศิลป์สากลในรายการโทรทัศน์ มันมีความต่างเพราะว่ากล้องมันตัดตลอด มันไม่เหมือนไปดูสดที่เราเห็น Long Short ฉะนั้นการออกแบบท่าเต้นในรายการทีวี เราต้องทำท่าขยาย ทำว่าขยายคืออะไร คือทำท่าให้มันยาวหน่อย เพื่อให้กล้องได้รีบตัดเข้ามา ยิ่งเป็นคอนเสิร์ต เวลาแดนซ์เซอร์เต้นอยู่ข้างหลัง ช่างกล้องก็ปวดหัวเหมือนกัน จะจับแดนซ์เซอร์ยังไง จับศิลปินยังไง ถ้าคุณทำท่าขยายปั๊บ เขา Long Short รอเลย เช่นสมมติ แทนที่เราจะเป็นแค่ 1 2 3 4 ก็จะเป็น 1 2 3 4 5 6 7 8 ขยายท่าให้มันยาวขึ้น ในทีวีเขาจะได้ตัดและได้ภาพออกมาสวย เพราะฉะนั้นตอนทำรายการทีวี จะเต้นในผับ เต้นในอีเว้นท์อะไรก็ตาม พอมาทีวี เราจะปรับและขยายท่ามากขึ้น เพื่อให้ร่วมเฟรมกับศิลปิน ผลสรุปวิจัยตอนทำปริญญาโทเนี่ย การเต้นในรายการทีวี เป็นส่วนเสริมให้รายการนั้น เหตุการณ์นั้น หรือเรื่องราวนั้น หรือบุคคลนั้น มีความสำคัญมากขึ้น เป็นการเกริ่นนำ เพื่อนำไปสู่เรื่องอื่น ๆ เพราะฉะนั้นรายการทีวีมันมีความต่าง ถ้าเข้าใจตรงนี้ โชว์จะออกมาสวย”

ความสุขของการที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘นักเต้น’

“ก็คงเป็นใจรัก เราชอบที่เราได้บอกเขาด้วยภาษาเคลื่อนไหว ที่ไม่ต้องพูด เราอาจจะเห็นเราการแสดง ภาพยนตร์ ละคร มาเยอะแล้ว พอมาเป็นเรื่องของการเต้นเรารู้สึกว่า มันลึกซึ้งเนอะ มันสนุกตรงนี้ เราสื่อสารไปด้วย และคนดูก็ต้องตีความกับเราไปด้วย และเราก็มองว่า เต้นมันคือความสุข หรือการคิดอะไรที่จะสร้างสรรค์ ท่าเต้น โอ้โห ประเทศไทยเรามีวัฒนธรรมที่มหาศาลมาก ที่เราเอามาคิด ทุกวันนี้ยังคิดไม่จบเลย เสน่ห์ที่ผมชอบมัน คือมันมีความเป็นศิลปะที่คลุมทุกแขนงมาอยู่กับมันได้หมดเลย คลุมเรื่องเสื้อผ้า คลุมเรื่องแต่งหน้า คลุมเรื่องสี คลุมเรื่องวัฒนธรรม คลุมแม้แต่เรื่องการเมือง หรือเรื่องบางอย่างที่เราอยากจะเล่าออกไป มันสามารถผ่านงานเต้นได้”

มุมมองต่ออาชีพนักเต้นในไทย

“ประเทศไทยเราเปิดกว้าง เปิดรับหลาย ๆ อย่างเลย เรามีวัตถุดิบเยอะมาก ที่เราจะนำมาต่อยอดพัฒนานะครับ มันอาจจะมีช่วงหนึ่งที่ถูกปิดกัน คนรุ่นเก่า ๆ อาจจะบอกว่า มันไม่ได้ ห้ามทำ อันนี้มันไม่ถูก มันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนี้ มันก็เลยติดอยู่ช่วงหนึ่ง พอเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง มันมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนได้เห็น ทั่วโลกได้เห็นพร้อมกัน อาชีพนี้บอกได้เลยว่า คนไทยไม่แพ้ชาติใครในชาติอื่น ๆ เพราะเรามีวัฒนธรรมไทยที่แข็งแกร่งมาก และเรามีคนไทยที่หัวใจสู้นะครับ ถึงบอดี้คนไทยจะไม่ได้สูงยาว แต่ความแกร่ง ความอดทน นักเต้นหลาย ๆ คนไปเติบโตระดับโลกตอนนี้ก็มีหลายคนแล้ว แล้วก็ไปอยู่ในโปรดักชันต่างประเทศก็มีอะไรก็มี ผมว่ายังเป็นอาชีพที่ดี และแนวโน้ม ผู้ปกครองให้ความสนใจเยอะ ถ้าลูกคนไหนเขาชอบ สนับสนุนไปเลย เอาที่ชอบเลยจะฮิปฮอป จะแจ๊ส จะบัลเลย์ เอาที่เขาชอบ สุดท้ายก็มองว่าเป็นอาชีพที่ดี ไทยเราเป็นหนึ่งในเอเชียแน่นอน”

ชิงช้าสวรรค์ 2023 รายการที่ส่งเสริมศิลปะไทยร่วมสมัย และควรส่งเสริมให้ไประดับโลก

“ชิงช้าสวรรค์ 2023 คือจุดเปลี่ยนมากที่สุด เทคโนโลยีที่มันเข้ามา ทั่วโลกมองเห็นกันหมด ได้เห็นตัวอย่างดี ได้เห็นคอนเสิร์ตดี ๆ ได้เห็นงานแดนซ์ดี ๆ ก็มีการพัฒนาเกิดขึ้นนะครับ มันก็เติบโตขึ้นมา เริ่มมีการสร้างเรื่องราว เริ่มมีการหยิบยกวรรณคดีเอามาสอดรับ เริ่มมีการหยิบตำนาน หยิบภาพวาดอะไรเข้ามา บอกเลยว่า ไประดับโลกได้เลย เพราะมันมีความเป็นมิวสิคัล ดิสนีย์ทำมานานแล้ว ฮอลิวู้ดทำมานานแล้ว มู่หลานของจีน ดิสนีย์เอามาทำ ฮอลิวู้ดเอามาทำกี่เวอร์ชันแล้วก็ไม่รู้ อะลาดิน ของตะวันออกกลาง แต่ดิสนีย์เอามาทำแล้วมันดูได้ทั่วโลก เอามาทำแล้วมันมีความแมส ของไทยเรานี่มหาศาลเลย แต่หลาย ๆ อย่างมันยังไปไม่ถึง เนี่ยแหละชิงช้าสวรรค์ 2023 เห็นชัดเลย มีหลายการแสดงที่ครูดนตรีใหม่ ๆ ครูสอนเต้นใหม่ ๆ ช่วยกันระดมความคิดสร้างสรรค์ สร้างพหุวัฒนธรรมขึ้นมา เพราะเรามีรากของรำไทย เรามีรากของวัฒนธรรมไทย ที่เอาไปใส่แล้วไม่มีประเทศอื่นทำได้ ขึ้นมาเนี่ยทุกคนรู้แล้วว่าเป็นไทย แต่ไทยผสมสากล แล้วเรากลืนความเป็นสากลด้วยซ้ำแล้วกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรา”

“อยากเห็นเด็กที่มาในรายการชิงช้าสวรรค์ทีมไหนก็ได้ ไประดับโลกได้แล้ว ผู้ใหญ่หรือใครก็ตามช่วยหน่อยเหอะ เพราะว่า มันใช่แล้ว เหมือนมิลลิ ที่ไปร้องเวทีโลก เป็น Soft Power กินข้าวเหนียวมะม่วงอะไรอย่างนี้ ไม่ต้องแทรกเลย เราเอาโชว์ไปแสดงบนนั้นเลย ถ้ามีโอกาส กระทรวงวัฒนธรรมเอย หน่วยงานเอย งาน EXPO อย่างนี้ ตอนนี้โลกเปิดแล้ว โรคระบาดดีขึ้นอะไรดีขึ้นแล้ว งาน EXPO ที่ดูไบ ที่ญี่ปุ่น  ช่วยเอาเด็กเหล่านี้ไปแสดงเถอะครับ คุณจะได้คุณค่า ได้บอกเล่าความเป็นไทย โดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรมากเลย เขาจะบอกความเป็นไทยได้สมบูรณ์แบบมาก ด้วยเสียงร้อง ด้วยดนตรี ด้วยท่าเคลื่อนไหว ความใฝ่ฝันคืออยากเห็นตรงนี้ และบอกได้เลยว่า ทำได้จริง ๆ ทำได้แล้วไปได้เลย”