85% ของลูกค้า CARSOME ตัดสินใจซื้อรถ หลังดูผ่าน ‘วิดีโอคอล’ โดยมี Toyota Yaris เป็นรถรุ่นที่ขายดีอันดับ 1 บนแพลตฟอร์ม
ปกติเวลาจะตัดสินใจซื้อรถซักคัน โดยเฉพาะ ‘รถมือสอง’ เราจะตัดสินใจจากอะไรบ้าง จะเป็นความชื่นชอบ หรือว่าปัจจัยสำคัญอย่างราคา สภาพรถยนต์ และประสบการณ์หลังการทดลองขับ
หลายคนอาจคิดว่า ถ้าจะซื้อรถมือสองจะต้องได้เห็นรถก่อนตัดสินใจซักครั้ง หรือว่าทดลองขับด้วยตัวเอง แต่ข้อมูลจาก CARSOME บอกว่าอาจไม่จำเป็นจะต้องทดลองขับเสมอไป
จากข้อมูลของ CARSOME แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซื้อขายรถยนต์มือสองครบวรจรในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2566 พบว่า ลูกค้ากว่า 85% ที่ซื้อรถยนต์กับ CARSOME ตัดสินใจซื้อรถ หลังจากดูรถและดูการทดลองขับผ่าน ‘วิดีโอคอล’ เท่านั้น
โดยตัวเลข 85% ของกลุ่มทดลองขับผ่านวิดีโอคอล สูงกว่าลูกค้ากลุ่ม ‘ทดลองขับจริง’ ที่มีสัดส่วนเพียง 10% และกลุ่มซื้อโดย ‘ไม่ทดลองขับ’ ก่อนตัดสินใจซื้อที่มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น
‘การทดลองขับผ่านวิดีโอคอล’ เป็นหนึ่งในทางเลือกของลูกค้า CARSOME นอกเหนือจากการทดลองขับจริงที่ CARSOME Experience Center และบริการอื่นๆ อย่างเช่นบริการนำรถไปให้ดูที่บ้านหรือที่พักอาศัยของลูกค้า
‘ปนิตยา จ่างจิต’ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คาร์ซัม (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า จากตัวเลขของการเลือกทดลองขับแบบวิดีโอคอลที่สูงอย่างมีนัยยะสำคัญ ลูกค้า 90% ตัดสินใจซื้อรถกับเราโดยไม่ได้เข้ามาสัมผัสหรือตรวจเช็กรถด้วยตัวเอง
แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อประสิทธิภาพของการบริการของ CARSOME ที่มาจากการตรวจสภาพอย่างเข้มงวด 175 จุดพร้อมปรับสภาพให้ได้มาตรฐาน การการันตีคืนเงินภายใน 30 วัน ราคาคุ้มค่า และโปรแกรม CARSOME Cares ที่คุ้มครองสูงถึง 2 ปี

‘ปนิตยา จ่างจิต’ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คาร์ซัม (ประเทศไทย) จำกัด
CARSOME ยังแบ่งปันข้อมูลว่า รถยนต์ที่ขายดีที่สุดบนแพลตฟอร์มของ CARSOME
อันดับ 1 คือ Toyota Yaris
อันดับ 2 คือ Mazda 2
อันดับ 3 คือ Honda Civic
อันดับ 4 คือ Honda City
อันดับ 5 คือ Toyota Vios
นอกจากนั้น ‘ปนิตยา’ ยังยืนยันว่า ได้ขยับขึ้นสู่ท็อป 3 ของแพลตฟอร์มซื้อขายรถยนต์มือสองของประเทศไทยที่มีมูลค่าตลาดกว่า 400,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 5-7% เรียบร้อยแล้ว
โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา CARSOME ได้ขายรถยนต์ในทุกตลาด (ไทย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์) รวมกว่า 150,000 คัน ยอดขายเติบโต 250% หรือคิดเป็นยอดขาย 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.2 หมื่นล้านบาท)