เปิดเวทีเสวนา ทอล์กการเมือง : ตื่นเถิดประเทศไทย โดย อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ , ใบตองแห้ง อธึกกิต แสวงสุข และ พรรณิการ์ วานิช ต่อด้วยการขึ้นSpeech โดย ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ และ พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล และปิดท้ายด้วย ยุทธศาสตร์ก้าวไกล ก่อนถึงวันเข้าทำเนียบ โดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งหลังจบการเสวนาได้เปิดเวทีมินิคอนเสริต์ ให้สส.พรรคก้าวมาร่วมร้องเพลงกับสมาชิกพรรคที่มาร่วมงานในวันนี้ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566
ชัยธวัชกล่าวว่า เรากำลังเข้าสู่การเมืองไทยบทใหม่ บางคนบอกว่า ช่วงเวลานี้กำลังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ตนเกรงว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราจะตอบคำถามนี้ได้ต้องพิจารณาว่าอะไรคือปัญหาของประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ผ่านมา
ปัญหาที่ (1) คือเรื่องอำนาจ เรามีปัญหากองทัพ ตุลาการภิวัตน์ และอำนาจนอกระบบอยู่เหนืออำนาจของประชาชน ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ เราเห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เคารพอำนาจประชาชน แต่สยบยอมต่ออำนาจที่ต้องการอยู่เหนืออำนาจของประชาชน
ปัญหาที่ (2) คือเรื่องรัฐราชการรวมศูนย์ ปิดทับศักยภาพของสังคมไทย เป็นระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยการทุจริต และไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน หลังจากรัฐประหาร 2549 และ 2557 พยายามอย่างมากที่จะดึงอำนาจจากท้องถิ่นกลับไปอยู่ส่วนกลาง แต่สิ่งที่เราเห็นจากนโยบายรัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ คือการกระจายอำนาจด้วยการบริหารแบบผู้ว่า CEO
ปัญหาที่ (3) คือเรื่องทุนใหญ่ ทุนใหญ่ผูกขาดควบคุมระบบเศรษฐกิจ ระบบแบบนี้ไม่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม ใครอยากโตต้องสร้างคอนเนกชั่นเส้นสาย แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา กลับเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินมหาศาล และหลังการเลือกตั้งเราก็เห็นกลุ่มทุนใหญ่กลุ่มทุนผูกขาดกลายมาเป็นผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง ทั้งๆ ที่หลังรัฐประหารเป็นต้นมา ปัญหาทุนใหญ่ผูกขาดหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาคพลังงาน โทรคมนาคม และค้าปลีก
ปัญหาที่ (4) คือนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน เรามีปัญหาเรื่องนี้มายาวนาน ภายใต้วัฒนธรรมการเมืองแบบจารีตที่ส่งเสริมสังคมเหลื่อมล้ำต่ำสูง กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายไม่มีอยู่จริง ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไม่ได้มุ่งประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน หลังรัฐประหารประชาชนจำนวนมากถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงเพียงเพราะออกมาแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมือง
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าตลอด 3 ปี กับ 185 วันของพรรคก้าวไกล นี่คือการเดินทางที่ตนจะไม่มีวันลืม และตนก็ภูมิใจกับสิ่งที่ได้ร่วมกันทำมากับทุกคน คือการได้จุดไฟกลางสายลม เมื่อไฟจุดติดกลางสายลมแล้วตนต้องขอให้ทุกคนช่วยกันอย่าให้ไฟดับโดยเด็ดขาด
ทั้งนี้ สำหรับชัยธวัช ตนขอยืนยันว่าเขาไม่ใช่ผู้นำขัดตาทัพอย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนพูด เพราะพรรคก้าวไกลไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล แต่เราคือผู้คนและการเดินทาง ต่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่อยู่แต่แก่นและหัวใจสำคัญยังอยู่ ก็คืออำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน เราคือสายธารแห่งความหวัง ความเป็นไปได้ และศรัทธา เพราะฉะนั้น ชัยธวัชคือผู้นำตัวจริงเสียงจริงของฝ่ายประชาธิปไตยแน่นอน
พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมีสมาชิกที่เป็นเจ้าของพรรคมากกว่า 7 หมื่นคน ด้วยความฝันและความเชื่อเดียวกันว่าประเทศไทยดีกว่านี้ได้ ประชาธิปไตยไทยเข้มแข็งกว่านี้ได้ เศรษฐกิจไทยไปไกลกว่านี้ได้ และสังคมไทยน่าอยู่กว่านี้ได้ และทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนมาร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านยานพาหนะที่ชื่อว่าพรรคก้าวไกล
หากจะสรุปเรื่องราวของพรรคก้าวไกลตลอดเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ใน 1 ประโยค มันคือเรื่องของการ “Beating the Odds” หรือการทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ ตอนพรรคอนาคตใหม่โดนยุบ หลายคนไม่คิดว่าพรรคก้าวไกลจะลุกขึ้นมาได้เร็ว แต่วันนี้พรรคก้าวไกลมีสมาชิกพรรคมากกว่าสมัยอนาคตใหม่แล้ว เมื่อพรรคก้าวไกลยืนยันทำการเมืองแบบใหม่ ไม่อิงกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หลายคนวิเคราะห์ว่าเราไม่สามารถชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้ แต่วันนี้พรรคก้าวไกลมี สส. แบบแบ่งเขตจาก 28 จังหวัดในทุกภาคทั่วประเทศ ในคืนวันก่อนเลือกตั้ง หลายคนไม่เชื่อว่าเราจะมี สส. เกิน 100 คน แต่วันนี้พรรคก้าวไกลก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าเป็นพรรคที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศได้
ภาพ ธนัญชัย แก้วโสวัฒนะ /Thai News Pix