SHARE

คัดลอกแล้ว

นายกฯ ตั้ง ‘ปลัดฉิ่ง’ ประธานกรรมการสอบปมค้นบ้าน ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ล่าสุดเจ้าตัวเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากศาล

หลังกำลังตำรวจอาวุธครบมือ นำหมายศาลบุกค้นบ้านพัก ‘รองโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ที่ซอยวิภาวดี 60 เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากพบเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์คดี ‘บอสตาล-มินนี่’

ล่าสุด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 247/2566 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีการเข้าค้นบ้านพักของข้าราขการตำรวจชั้นผู้ใหญ่และเคหสถานอื่นหลายแห่งทั่วประเทศ รายงานภายใน 30 วัน

คณะกรรมการฯ ประกอบด้วย

1. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ หรือ ปลัดฉิ่ง อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ

2. นายชาติพงษ์ จีระพันธุ อดีตรองอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ

3. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรองผบ.ตร. เป็นกรรมการและเลขานุการ

(ภาพจาก ทำเนียบรัฐบาล)

ทั้งนี้ นายกฯ เศรษฐา ได้เปิดเผยหลังเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยอมรับว่า หนักใจแม้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนแต่เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องที่สาธารณชนจับตามองอยู่ ก็ต้องทำให้เกิดความสบายใจ เพราะเกี่ยวกับความมั่นคงด้วย และขออย่าไปคิดจะเกี่ยวกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ก็ไปว่ากันอีกที ซึ่งการประชุม ก.ตร. วันที่ 27 ก.ย. ขณะนี้ยังไม่มีการเลื่อนประชุม

ส่วนที่มีการระบุจะฟ้องตนหากไม่แต่งตั้ง ผบ.ตร. ตามลำดับอาวุโสนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องดูไปตามข้อกฎหมาย

“เรียกว่าสังคายนามันก็แรงไปหน่อยมั้งครับ สถาบันเขาเป็นสถาบันที่มีเกียรติ มีปัญหาก็ให้เขาแก้กันไปดีกว่า” นายกฯ ตอบคำถามที่ว่าจะถือโอกาสสังคายนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หรือไม่

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ วันนี้ได้เดินทางมาที่ศาลอาญา ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อศาล กรณีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT และ บช.สอท. นำกำลังตำรวจคอมมานโดพร้อมอาวุธครบมือ เข้าตรวจค้นบ้านพักภายในซอยวิภาวดี 60 เมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอ ทางช่องยูทูบ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว โดยสรุประบุว่า ทั้ง พ.ต.อ.ภาคภูมิ และ พ.ต.ท.คริษฐ์ ลูกน้องคนสนิทที่เปรียบเป็นเลขาฯ 2 ใน 8 ตำรวจที่ถูกจับกุม มีการใช้บัญชีม้า ทำให้ตนตั้งข้อสงสัยว่า พ.ต.ท.คริษฐ์ ไปเล่นเว็บพนันหรือไม่ เหตุใดจึงใช้บัญชีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเงินที่ตนให้โอนจ่ายส่วนตัว พร้อมยืนยันไม่มีเงินย้อนกลับมาหาตน มีแต่จ่ายออก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้ำด้วยว่า เรื่องนี้เป็นกระบวนการตระเตรียมมาเพื่อเชื่อมโยงมาให้ถึงตน ตั้งข้อสันนิษฐาน มีหลายเรื่องที่ตนรับผิดชอบคดีอยู่ใกล้จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ส่วนใช่เรื่องส่วยหรือไม่ขอไม่เปิดเผย และย้ำเรื่องการบุกค้นบ้านครั้งนี้ “ใครละเมิดกฎหมายต้องรับผิดชอบ งานนี้มีตัวอย่างแน่”

สำหรับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ ที่นายกรัฐมนตรี จะมาเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในบ่ายวันที่ 27 ก.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นอาวุโสอันดับ 2 ระบุว่า ตนไม่ได้คิดว่าจะเป็นผบ.ตร. เร็ว อายุราชการยังเหลืออีกหลายปี (เกษียณปี พ.ศ. 2574) ส่วนกระแสข่าวจะไปเป็นเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ยังไม่มีใครมาติดต่อเป็นทางการให้ไป และว่า ตนถนัดงานตำรวจ ไปอยู่หน่วยอื่นทำไม่เป็น ไม่ไป

“ผมไม่อยากรีบขึ้นครับ ขึ้นไปมันก็อยู่ลำบากครับ ขึ้นไปเหลือมันเยอะก็อยู่ลำบาก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงการเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. คนที่ 14

(ภาพ ธนัญชัย แก้วโสวัฒนะ / Thai News pix)

[ที่มาฉายา โจ๊กหวานเจี๊ยบ-แมวเก้าชีวิต]

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พื้นเพเป็นคน จ.สงขลา จบการศึกษาโรงเรียนมหาวชิราวุธ สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 31 และนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 47 ปัจจุบันอายุ 52 ปี (ย่าง 53 ปี)

จบการศึกษาปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม จากมหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย และระดับ ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้ยังมีประวัติการศึกษาอื่นๆ อีกมากมาย

เข้ารับราชการตำรวจในตำแหน่ง ‘รองสารวัตร’ เป็นนายตำรวจที่ได้ชื่อว่าเติบโตเร็วที่สุดของรุ่น ติดยศ ‘พลตำรวจตรี’ ตั้งแต่อายุยังน้อย นิสัยเกาะติดงานถูกเรียกมาทำงานใกล้ชิดผู้ใหญ่ จนได้รับการตั้งฉายาจากสื่อมวลชนสายอาชญากรรมว่า ‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’

ได้รับการนับอายุราชการทวีคูณ หลังจากทำหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.สงขลา (จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) เป็นผู้บังคับการ ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ทำหน้าที่ประสานงานนายกรัฐมนตรี สมัยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. นอกจากนี้ เคยเป็นผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ดูแลงานสร้างความเข้าใจกับประชาชน เรื่องความมั่นคง งานอาชญากรรมในภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งคดีอาชญากรรมข้ามชาติ และหนี้นอกระบบ จนได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ติดยศ พล.ต.ท. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561

[เส้นทางสีกากีที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ]

– ในยุค พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น ผบ.ตร. วันที่ 5 เมษายน 2562 มีคำสั่งเด้งพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ (ยศในขณะนั้น) เข้ากรุ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม

– ถัดจากนั้นแค่ 4 วัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจ ม.44 ให้ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ขาดจากตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โอนเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทนักบริหารระดับสูง ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยมีมูลกรณี เมื่อถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ทำให้เสียหายแก่ทางราชการหรือทำให้ประชาชนเดือดร้อน

– 6 มกราคม 2563 รถยนต์ส่วนตัวของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ถูกยิง บริเวณถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก เจ้าตัวไม่ได้รับอันตราย เพราะขณะเกิดเหตุไม่ได้อยู่ในรถ ตอนนั้นเรื่องถูกโยงถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจสอบและพิสูจน์อัตลักษณ์ และโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้าของสตม. แต่ข่าวอีกกระแสก็มองว่าหรือเป็นการจัดฉากเอง

– มาถึงมกราคม ปีพ.ศ. 2563 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขอลาอุปสมบท เพื่อทดแทนบุญคุณ บิดา มารดา ที่วัดไทยในพุทธคยา ประเทศอินเดีย ก่อนกลับมารับตำแหน่งที่สำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ในเดือน กุมภาพันธ์ได้รับมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ทำในเรื่องการให้ข้อเสนอแนะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน

– อีก 7 เดือนต่อมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังได้มอบหมายให้ทนายความส่วนตัว นำเอกสารคำร้องเข้ายื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ ต่อศาลปกครองกลาง กรณีออกคำสั่งย้ายโอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่กี่วันต่อมาศาลได้ตัดสินไม่รับคำฟ้องและตีตกไป

– เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีคำสั่งให้โอนย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี กลับเข้าเป็นข้าราชการตำรวจ และอีก 8 วันถัดมา ก.ตร. มีมติแต่งตั้ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษา สบ.9 เทียบเท่า ผู้ช่วย ผบ.ตร. ก่อนขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ติดยศ พล.ต.อ. ตามลำดับ และกลายเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. คนที่ 14 อาวุโสอันดับ 2

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า