ดีเดย์ 17 ต.ค.นี้ ผบ.ตร. แจงเหตุปรับนโยบายทรงผมตำรวจ หวังแก้อุปสรรคการปฏิบัติหน้าที่

ดีเดย์ 17 ต.ค.! ผบ.ตร. แจงเหตุปรับนโยบายทรงผมตำรวจ หวังแก้อุปสรรคการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้-งานสืบสวน

จากกระแสการจะยกเลิกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติตนของข้าราชการตำรวจเมื่อแต่งเครื่องแบบ พ.ศ.2561 ที่เคยกำหนดให้ข้าราชการตำรวจชายตัดผมสั้น ขาวทั้ง 3 ด้าน ความยาวด้านบนไม่เกิน 3 เซนติเมตร เปลี่ยนเป็นผมด้านบนความยาวไม่เกิน 5 เซนติเมตร ด้านข้างและด้านหลังความยาวไม่เกิน 1 เซนติเมตร

วันนี้ (12 ต.ค. 66) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า การปรับเปลี่ยนเรื่องระเบียบทรงผมนั้น มาจากนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทุกท่าน ที่ให้ผู้บังคับบัญชาลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับตำรวจชั้นใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่

สิ่งที่ตนเก็บข้อมูลมาตั้งแต่เป็น รองผบ.ตร. เป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ภาพสะท้อนของน้องๆ เด็กๆ ระดับผู้ใต้บังคับบัญชา การที่ได้ลงไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ได้เห็นปัญหาเรื่องทรงผมว่า ที่พวกเขาไว้ทรงผมตามระเบียบ กลายเป็นตัวชี้เป้าของผู้ก่อเหตุไม่สงบ เพราะฉะนั้นพอตนได้มีโอกาสมารับตำแหน่งตรงนี้ จึงอยากจะทำเป็นนโยบาย ถือว่าเป็นการ Top Up ไม่ใช่ Top Down อ้างอิงจากความเป็นจริงของเด็กๆ ซึ่งสิ่งที่ตนทำ ไม่ได้เป็นความคิดเฉพาะตัวเอง แต่เป็นการพูดคุยระดับผู้บังคับบัญชาทั้งหมดที่มองเห็นความสำคัญของน้องๆ

“อุปสรรคในการทำงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พี่ก็เลยบอกว่างั้นพื้นที่พิเศษ เช่น สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทรงผมถ้าอย่างนี้มันเป็นตัวทำให้เขาเป็นเป้าของผู้ประสงค์ร้ายนะครับหนึ่ง สองคือผู้ที่ทำหน้าที่งานสืบสวน มาไว้ผมอย่างนี้ เราจะ under cover ได้อย่างเดียว คือปลอมตัวได้อย่างเดียว คือเป็นพระอย่างเดียวแหละครับ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แล้วพี่เห็นมันเป็นอุปสรรคในการทำงานของน้องๆ” ผบ.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวด้วยว่า จริงๆ สิ่งนี้ตนอยากให้เป็นของขวัญวันที่ 17 ต.ค.นี้ (วันตำรวจแห่งชาติ) แต่ไม่อยากให้ประเด็นเรื่องทรงผมเป็นเรื่องที่พิเศษมากนัก สิ่งที่อยากให้มุ่งคือ เราได้ปรับประยุกต์ จากการลงไปสัมผัสปัญหาอุปสรรคของน้องๆ ตำรวจในพื้นที่ จากนี้ไม่ใช่เพียงการไปตรวจเยี่ยมเท่านั้น แต่ต้องเอาปัญหามาแก้ไข ถือเป็นนโยบายของผู้บังคับบัญชาทุกท่าน

ภาพจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ