ยิ่งนับวันดูเหมือนว่าการพบแพทย์ผ่านวิดีโอคอล หรือ Telemedicine รวมถึงการปรึกษาเภสัชกรผ่านช่องทางออนไลน์ ที่รวมๆ แล้วเรียกว่า Digital Healthcare จะเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
เราเริ่มเห็นโรงพยาบาลไปจนถึงร้านขายยา ต่างทำแอปพลิเคชั่นให้ลูกค้าสามารถปรึกษาแพทย์/เภสัชกร/ผู้เชี่ยวชาญ แล้วรับการรักษาเบื้องต้น ส่งยาให้ถึงบ้านได้มากขึ้น
ล่าสุด BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเครือข่ายโรงพยาบาล 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม รพ.กรุงเทพ, กลุ่ม รพ.สมิติเวช, กลุ่ม รพ.พญาไท, กลุ่ม รพ.เปาโล, กลุ่ม รพ.รอยัล และคลินิก BDMS Wellness Clinic รวมถึงร้านขายยา Save Drug ได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่น BeDee หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลเฮลธ์แคร์ที่มีบริการเพื่อสุขภาพครบครันในแอปเดียว
‘พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ’ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BDMS กล่าวว่า “เทรนด์ดิจิทัลเฮลธ์แคร์ในไทยนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันคาดว่ามีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มแนวนี้กว่า 22.49 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 28.28 ล้านคนในปี 2028
“ขณะที่ BDMS นั้นมีพร้อมทั้งโรงพยาบาล ร้านขายยา แล็บ เราจึงอยากทำในสิ่งที่ให้ประโยชน์กับผู้คน อยากทำให้เรื่องการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ทุกคนำได้ดูแลสุขภาพและแข็งแรง”
‘พันตรี สมิทธิ์ ปราสาททองโอสถ’ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เฮลท์ พลาซ่า จำกัด ในเครือ BDMS ผู้พัฒนาแอป BeDee กล่าวว่า แอปพลิเคชั่น BeDee นั้นพัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา และออกแบบโดยยึดความต้องการของผู้ใช้งานเป็นหลัก โดยใช้งบลงทุนพัฒนากว่า 300 ล้านบาท
โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีบริการต่างๆ บนแอปถึง 9 บริการ ขณะที่ในช่วงเปิดตัว เริ่มให้บริการ 3 บริการก่อน คือ
1.Teleconsultation บริการปรึกษาอาการป่วยจากทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 สาขาจากเครือ BDMS สามารถปรึกษาเบื้องต้นกับผู้เชี่ยวชาญฟรี
2.Telepharmacy บริการปรึกษาเรื่องยากับเภสัชกรฟรี พร้อมจัดส่งยาถึงบ้าน
3.Health Mall ศูนย์รวมสินค้าทางการแพทย์และสินค้าเพื่อสุขภาพ พร้อมกับสินค้าเฉพาะกลุ่มโรค
‘พันตรี สมิทธิ์’ บอกว่า จุดเด่นของแอป BeDee คือมีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญให้บริการกว่า 600 คน ในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรคและสุขภาพถึง 30 สาขา ซึ่งแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากโรงพยาบาลในเครือ BDMS ทั้ง 58 แห่ง เรียกได้ว่าเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 51 ปี
นอกจากนี้ในเครือยังมีร้านขายยาอีก 80 แห่งทั่วประเทศที่จะเป็นหน่วยจัดส่งยาและสินค้า ทั้งยังมีแล็บอีก 28 แห่งที่สามารถรองรับบริการตรวจผลเลือดบนแอปได้
ในแง่ของราคา TODAY Bizview ลองเข้าไปสำรวจในแอปพลิเคชั่น พบว่า ราคาเริ่มต้นสำหรับการปรึกษาแพทย์ทั่วไปอยู่ที่ 299 บาท/15 นาที พบแพทย์เฉพาะทาง 499 บาท/20 นาที ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นพยาบาล ขณะนี้มีโปรโมชั่น ปรึกษาได้ 15 นาที ไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ในช่วงเปิดตัวยังมีโปรโมชั่น ปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาได้ฟรีอีกด้วย
เรียกได้ว่าโดยรวม หากเป็นโรคทั่วไป ไม่ได้เจ็บป่วยหนัก การปรึกษาพร้อมรับการรักษาเบื้องต้นผ่านแอป BeDee ก็มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการเดินทางไปรับบริการของโรงพยาบาลในเครือ BDMS อยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของการให้บริการนี้ แอป BeDee ยังจัดส่งได้เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น และคาดว่าจะมีการขยายพื้นที่จัดส่งเพิ่มเติมจนครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคต
พันตรี สมิทธิ์ กล่าวอีกว่า เป้าหมายของ BeDee คือการขยายการให้บริการครอบคลุมเรื่องสุขภาพครบทุกด้านมากที่สุด ในทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งฐานลูกค้าเครือ BDMS และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา ไปจนถึงนักท่องเที่ยวและกลุ่ม expat ด้วย
ส่วนปี 2567 BeDee คาดว่าจะขยายการให้บริการเพิ่มอีก 3 บริการ ได้แก่ Health Content, Health Check up และ Health Package พร้อมขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้า B2B ที่เป็นบริษัท ห้างร้านต่างๆ ที่ต้องการดูแลสุขภาพพนักงานเพิ่มมากขึ้น
โดยปี 2566 นำร่องที่กลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท ปตท.สผ. เพื่อผลักดันให้ทุกองค์กรดูแลพนักงานแบบครบวงจรได้ง่ายๆ ทุกวันด้วย Ultimate Corporate Check Up ที่เชื่อมโยง Health Records มาไว้ในแอป และการนำเสนอแพ็กสุขภาพที่เหมาะกับพนักงาน
ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีพันธมิตรรายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสายประกัน สายสุขภาพ และสายเทคโนโลยี เพราะเป้าหมายของ BeDee คือการเปิดกว้างรับพันธมิตรเพิ่มแบบไม่จำกัด เพื่อให้ผู้บริโภค ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเข้าถึง Wellness ได้กว้างขึ้น และง่ายขึ้น ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ
ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่าภายในปี 2568 จะมีจำนวนผู้ใช้งานแอป BeDee คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนผู้ใช้งานดิจิทัลเฮลธ์แคร์แพลตฟอร์มในไทยของปีนี้ และคาดว่ากลุ่มผู้ใช้งานจะเป็นคนป่วยในสัดส่วน 40%, คนไม่ป่วย 50% และการดูแลผู้สูงวัยและอื่นๆ อีก 10%