ปีนี้ ‘ธุรกิจความงาม’ ถูกยกขึ้นทำเนียบติดอันดับธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงคัมแบ็คกลับมาได้สวย หลังต้องประสบปัญหาช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่วันนี้ธุรกิจกลุ่มนี้กลับมาฟื้นตัวจนโดดเด่นอีกครั้ง และหากเจาะเข้าไปดูเฉพาะ ‘ธุรกิจร้านเสริมสวย’ จะพบว่ามีมูลค่าการตลาดสูงมากอยู่ที่ราว 60,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
จะเห็นว่าธุรกิจร้านเสริมสวยปัจจุบันมีโมเดลสไตล์สปา คือ สวยตั้งแต่ผมจรดปลายเท้า และยิ่งหากเข้าไปดูในไลน์ของตลาดธุรกิจเส้นผม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผมด้วยแล้ว ยิ่งเติบโตสูงขึ้นทุกปี เพราะความนิยมทำสีผมของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก นั่นทำให้ตลาดธุรกิจบำรุงสุขภาพผมก็เติบโตตามด้วยเช่นกัน
TODAY Bizview มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์’ ผู้บริหารนับเงินกรุ๊ปหรือพี่น้องตระกูลเอื้อศิริทรัพย์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของร้านให้บริการความงามครบวงจร KIKI Beauty Space ตั้งอยู่ใจกลางสยามสแควร์ ที่จุดเด็ดจุดขายคือความชำนาญเรื่องบริการเกี่ยวกับเส้นผม จนมีเหล่าคนดัง อินฟลูเอนเซอร์และกลุ่มลูกค้าต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการ สร้างรายได้นับ 100 ล้านบาทต่อปี
‘ก้องภพ’ เผยว่า KIKI Beauty Space เกิดขึ้นจากการที่เห็นคนไทยส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพผม เราเห็นถึงปัญหานี้จึงอยากทำซาลอนพรีเมี่ยมที่ช่วยแก้ปัญหา โดยใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากแบรนด์ดังระดับโลกและมอบบริการชั้นยอดให้แก่ลูกค้า
ขณะที่เปิดร้านครั้งแรกใจกลางสยามสแควร์ในช่วงที่กำลังล็อกดาวน์โควิด ซึ่งร้านจำเป็นจะต้องปิดตามมาตรการรัฐบาล ทำให้ ‘ก้องภพ’ ต้องวางแผนการตลาดด้วยการขายคูปองล่วงหน้าที่มาพร้อมส่วนลด ซึ่งกระแสตอบรับก็กลับมาอย่างล้นหลาม และมีเหล่าคนดังอินฟลูเอนเซอร์ มาใช้บริการด้วยตัวเองและรีวิวผ่านอินสตราแกรม
ทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทั้งอินฟลูเอนเซอร์ นางงาม หรือกลุ่มคน GEN Y รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่บินมาใช้บริการมากขึ้น โดยร้านซาลอนมี 3 สาขา โดยที่สยามสแควร์มี 2 แห่ง และอีก 1 สาขาที่เมกะบางนา เติบโตปีละ 200% ปัจจุบันมีลูกค้า,000 บาท
สมัครสมาชิกและชำระเงินล่วงหน้ากว่า 10,000 ราย เฉลี่ยค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าเข้าใช้บริการมีตั้งแต่รายละ 10,000-300
[ แตกไลน์ขยายธุรกิจให้ครบวงจรขึ้นไปอีก ]
‘ก้องภพ’ กล่าวว่า เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้ขยายแบรนด์ใหม่อย่างกีกี้ เอ็กซ์ (KIKI X) ที่สยาม สแควร์ ซอย 3 เพื่อเป็นเดสติเนชั่นใหม่ต่อยอดบริการความสวยตั้งแต่หัวจรดเท้า โฟกัสบริการเกี่ยวกับความสวยความงาม เช่น บริการต่อผม ต่อเล็บ รวมถึงต่อขนตา สมาชิกสามารถจองห้องส่วนตัวในการเสริมสวย และสั่งอาหารรับประทานระะหว่างเข้าใช้บริการได้
ทั้งนี้ ยังแตกไลน์แบรนด์แฮร์แคร์น้องใหม่เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มแมส โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือ ‘KBS’ ฟิลเลอร์ผมที่คัดสรรสุดยอดสารสกัดจากทั่วโลก ซึ่งไลฟ์สดขายครั้งเเรกสร้างรายได้ราว 700,000บาท จนปัจจุบันขยายไปตีตลาดในประเทศลาวที่มีพฤกติกรรมลูกค้าคล้ายกับไทย
ประกอบกับนำเทคโนโลยีและ Data Driven เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อให้สามารถ ตัดสินใจ และทำการตลาดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งถือเป็นรายแรกๆ ของธุรกิจซาลอนในไทยอีกด้วย
[ ทิศทางธุรกิจของนับเงินกรุ๊ป ]
‘ก้องภพ’ เผยว่า ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของนับเงินกรุ๊ป ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1.ธุรกิจซาลอน 2.ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Bevarage – F&B)
เมื่อไม่นานมานี้ นับเงินกรุ๊ป ยังต่อยอดธุรกิจ F&B ด้วยการรีแบรนด์ตำนานร้านอาหารไทย KOKO (โกโก้) ซึ่งอยู่คู่สยามมาเกือบ 30 ปี ด้วยความต้องการที่จะสร้างแม็กเน็ตร้านอาหารไทยในย่านสยามสแควร์ โดยเฉพาะบริเวณสยามสแควร์ซอย 3 จึงได้ร่วมกับเครือร้านอาหารของ ‘นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์’ (พี่สาว) ผู้บริหาร เครือรวยไม่หยุด กรุ๊ป เจ้าของร้านอาหาร Nice tWo Meat u, Fire Tiger, Mill Toast House TH ฯลฯ โดยหลังจากเปิดให้บริการมาได้ราว 4 เดือน กลุ่มลูกค้าของร้านเป็นลูกค้าไทยและต่างชาติในสัดส่วน 50-50
“ด้วยความที่เรามีประสบการณ์ในการปั้นแบรนด์อยู่แล้ว จากที่เคยช่วยงานร้านอาหารของพี่สาว และธุรกิจความงามของเราเอง ทำให้ไม่ได้กังวลมากนักในการขยายธุรกิจ โดยในส่วนของธุรกิจอาหาร ได้เข้ามาปรับภาพลักษณ์แบรนด์ การตกแต่งร้าน รวมไปถึงพัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ ให้มีความหลากหลาย เป็นเมนูอาหารไทยจากหลายภูมิภาค และมีรสชาติถึงรสถึงเครื่องนับร้อยเมนู ตั้งเป้าผลักดันร้านอาหารไทยเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ต และหวังจะสร้างชื่อเสียงให้สยามสแควร์กลายเป็น ‘World Food Destination’ ของไทย”
ก้าวต่อไปของนับเงินกรุ๊ป ‘ก้องภพ’ กล่าวทิ้งท้ายว่า มีแผนจะขยายธุรกิจในกลุ่มความงาม และไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการออกสินค้าภายใต้แบรนด์ KBS ที่เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์แฮร์แคร์ ซึ่งจะมีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกไปนอกเหนือจากฝั่งแฮร์แคร์ต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ด้วย
ในภาพรวมของธุรกิจ ‘ก้องภพ’ มองว่าเป้าหมายต้องการขยายตลาดทั้งในไทยและระดับภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันพอร์ทธุรกิจความงาม และธุรกิจอาหารของเครืออยู่ที่สัดส่วนร้อยละ 80-20 แต่ภายในปี 2026 เครือนับเงิน กรุ๊ป ตั้งเป้าขยายพอร์ท F&B ให้ขึ้นมาอยู่ในสัดส่วน 50-50