หุ้นกู้ไทยน่าเป็นห่วง ปีเดียวเบี้ยวชำระหนี้รวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท

‘ดร.สมจินต์ ศรไพศาล’ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในปี 2566 มีมูลค่ารวมทัั้งหมด 16,363 ล้านบาท ประกอบด้วย

• บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ทั้งหมด 7 รุ่น รวม 2,334 ล้านบาท
• บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ทั้งหมด 9 รุ่น รวม 9,198 ล้านบาท 
• บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ทั้งหมด 4 รุ่น 409 ล้านบาท
• บริษัท เดซติเนชั่น รีสอร์ทส์ จำกัด หรือ DR ทั้งหมด 2 รุ่น 1,210 ล้านบาท
• บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ทั้งหมด 7 รุ่น 3,212 ล้านบาท

ส่วนในปี 2567 มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้แล้ว 1 บริษัท คือ บริษัท พีพี ฮอลิเดย์ จำกัด หรือ PPH ทั้งหมด 1 รุ่น 392 ล้านบาท

ขณะที่ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD ที่เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ยังคงต้องจับตาการประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขอมติการผ่อนผันการชำระหนี้ดังกล่าวในวันที่ 17 ม.ค.2567

ทั้งนี้ ในส่วนความกังวลเรื่องการผิดชำระหนี้หุ้นกู้ มองว่าหลายๆ บริษัทก็มีบทเรียน และน่าจะมีการเตรียมพร้อมด้านการเงินที่ดีมากขึ้น และสำหรับนักลงทุนไม่อยากให้กังวลมากเกินไป และคอยติดตามข่าวสารข้อมูลของบริษัทที่ตัวเองลงทุนอยู่เสมอ

นอกจากนี้ในปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวอยู่ที่ 9 แสนล้านบาท – 1 ล้านล้านบาท และปริมาณการออกหุ้นกู้น่าจะมีแนวโน้มออกมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก

หลังจากในปี 2566 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการออกหุ้นกู้อยู่ที่ 1,018,690 ล้านบาท เป็นปีที่ 4 ที่ยอดการออกเกิน 1 ล้านล้านบาทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

หุ้นกู้ที่ออกส่วนใหญ่กว่า 91% อยู่ในกลุ่ม Investment grade และเสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไป (PO) ในสัดส่วน 39% เพิ่มขึ้นจาก 29% ของยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวในปี 2565

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการออกสูงสุดคือ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และ ธนาคาร ตามลำดับ

ด้านมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ 16.5 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.4% จากปี 2565 ซึ่งการเพิ่มขึ้นมาจากมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลและภาคเอกชนเป็นหลัก

ในส่วนของผลการสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2567 ที่ผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะคงอยู่ ณ ระดับปัจจุบันที่ 2.50% ไปอีกระยะหนึ่ง

โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จำนวน 1-2 ครั้ง รวมกันไม่เกิน 0.5%

สำหรับการคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในระหว่างปี 2567 รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ย 5-10 bps. จากปลายปี 2566 ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

หลังจากนั้นคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 5 ปี และ 10 ปี จะปรับตัวต่ำลงในช่วงปลายปี 2567 มาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับปลายปี 2566 จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ เป็นสำคัญ

ด้าน ‘อริยา ติรณะประกิจ’ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) กล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานของ ThaiBMA ในปี 2567 เพื่อที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน คือ

1.เพิ่มการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของ Issuer (ผู้ออกหุ้นกู้)และการเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมเพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลครบถ้วนในการตัดสินใจลงทุน

2.จัดทำ High yield bond covenant (ข้อกำหนดทางการเงินที่ Issuer ต้องปฏิบัติ) ที่ครอบคลุมเงื่อนไขสำคัญเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน

3.จัดทำสัญญามาตรฐานของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อเพิ่มหน้าที่ของ Issuer/ นายทะเบียน ที่มีต่อผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ในการทำหน้าที่ปกป้องประโยชน์ของนักลงทุนให้มีประสิทธิภาพ โดยการดำเนินงานดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของนักลงทุน

ทั้งนี้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดูแลนักลงทุนและการออกหุ้นกู้ของบริษัทให้มากขึ้น

โดยเฉพาะหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่มีความเสี่ยงสูงหลังเกิดปัญหาหุ้นกู้ภาคเอกชนผิดนัดชำระหนี้ หรือขอเลื่อนชำระหนี้เกิดขึ้นหลายแห่ง