หากพูดถึงยาลดความอ้วนที่มาแรงตอนนี้คงหนีไม่พ้น ‘Ozempic’ และ ‘Amycretin’ ที่มาจาก Novo Nordisk (NVO) บริษัทยาสัญชาติเดนมาร์ก ที่ถือเป็นเจ้าตลาดในกลุ่มยารักษาโรคเบาหวานและยาลดความอ้วนมาอย่างยาวนาน
และเมื่อไม่กี่วันมานี้ราคาหุ้นของ Novo Nordisk (NVO) ก็พุ่งขึ้น 10% ภายในวันเดียว นั่นก็เป็นหลังจากที่บริษัทได้ทดสอบ ‘Amycretin’ ยาลดความอ้วนแบบรับประทานได้ในระยะแรก และพบว่าตัวยาสามารถลดน้ำหนักได้จริงถึง 13% ภายใน 12 สัปดาห์เท่านั้น จึงไม่แปลกเลยที่บริษัทนี้จะถูกมองว่าเป็นเจ้าตลาด
แต่รู้หรือไม่ว่า Novo Nordisk เองก็มีอีกหนึ่งคู่แข่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย นั่นก็คือ Eli Lilly บริษัทยาสัญชาติอเมริกาที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
ปัจจุบัน Eli Lilly (LLY) มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 7.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 25 ล้านล้านบาท
ขณะที่ Novo Nordisk (NVO) มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 6.03 แสนล้านดอลลาร์หรือราวๆ 21 ล้านล้านบาท
และไม่ใช่แค่ Novo Nordisk แต่ Eli Lilly เองก็มี ‘Tirzepatide’ ยาลดความอ้วนที่มาในรูปแบบปากกาฉีด ซึ่งคล้ายๆ กับตัวยา Ozempic ของ Novo Nordisk
[ ศึกนี้สนุกขึ้น เมื่อ Eli Lilly จับมือ Amazon ส่งยาขายบนออนไลน์ ]
ตอนนี้เลยดูเหมือนว่าศึกชิงเจ้าตลาดยาลดความอ้วนคงไม่จบลงง่ายๆ เพราะล่าสุด Eli Lilly ได้ทำข้อตกลงกับร้านขายยาออนไลน์ของ Amazon (แพลตฟอร์มช็อปปิ้งยอดนิยมของอเมริกา) ให้สามารถจ่ายยาของบริษัทได้ราวๆ 14 ตัวยา
และเมื่อสั่งยาผ่านออนไลน์แล้ว กลุ่มผู้ป่วยเพียงแค่รอรับยาที่หน้าประตูบ้านได้เลย
ซึ่งนั่นก็รวมถึงปากกาฉีดลดน้ำหนักอย่าง Tirzepatide ซึ่งยาชนิดนี้มาในรูปแบบปากกาลดน้ำหนัก ทำให้การรักษารวมถึงการขนส่งควรที่จะอยู่ในอากาศเย็นเช่นเดียวกับเวลาขนส่ง ‘อินซูลิน’
อย่างไรก็ตาม สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วการเข้าถึงยารักษาโรคถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่เมื่อใครๆ ก็สามารถสั่งซื้อได้บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Amazon ได้ ก็ถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัทยาอย่างแน่นอน
[ อานิสงส์ยาลดความอ้วนเติบโต ศึกนี้น่าจับตามอง ]
แต่ในทางกลับกันสำหรับ Eli Lilly กำลังท้าทายคู่แข่งอีกมากมายในตลาด เพราะเมื่อจะเอายาลดความอ้วนไปขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็หมายความว่า ไม่ได้แข่งกับบริษัทยาอย่าง Novo Nordisk เพียงเจ้าเดียวเท่านั้น เพราะตัวยาชนิดอื่นๆ ของ Eli Lilly ที่อยู่บน Amazon ก็มีคู่แข่งคือบริษัทยาอย่าง CVS และ Walgreens อยู่
แต่ด้วยดีมานด์ที่สูงมากของ ‘ยาลดความอ้วน’ ก็จะยังทำให้ Eli Lilly มียอดขายที่แทรกหน้าคู่แข่งอื่นๆ อยู่ดี
เพราะหากมองจากจำนวนประชากรที่เป็น ‘โรคอ้วน’ ในสหรัฐอเมริกา จะพบว่า มีกลุ่มผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วนมากถึง 41.9% ของจำนวนผู้ใหญ่ทั้งหมด และมีเด็กเป็นโรคอ้วนมากถึง 19.7% ของจำนวนเด็กทั้งหมด (ข้อมูลปี 63)
จึงไม่แปลกเลยที่ยาลดความอ้วนจะมีความต้องการในตลาดสูงขนาดนี้
และมากไปกว่านั้น ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ยาลดความอ้วน Tirzepatide ก็เพิ่งได้รับอนุมัติให้จำหน่ายได้บนออนไลน์เมื่อเดือน พ.ย.ปี 66 นี้เอง แต่กลับสร้างยอดขายในสัปดาห์สุดท้ายของปีที่ 175.8 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 6,261 ล้านบาทเลยทีเดียว
นี่คือศึกยาลดความอ้วนที่ต้องจับตามอง ทั้งในมุมสุขภาพ มูลค่าทางธุรกิจ และการแย่งชิงส่วนแบ่งกันอย่างดุเดือดในตลาด
ที่มา
-
-
-
-
- https://www.ft.com/content/64730a98-7744-4c16-abd3-b1f1e0aa43c7
- https://www.forbes.com/health/weight-loss/obesity-statistics/
-
-
-