Maguro Group (มากุโระ กรุ๊ป) ผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยม ‘MAGURO’ ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี ‘SSAMTHING TOGETHER’ และร้านชาบู- สุกียากี้ ‘HITORI SHABU’ กำลังเดินหน้าขายไอพีโอ (IPO) เพื่อขยายธุรกิจ
[ จุดเริ่มต้นจากกลุ่มเพื่อน ]
โดย ‘เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าว่า MAGURO ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อน 4 คน เมื่อ 9 ปีที่แล้วเพื่อประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิ ซึ่งได้ขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง
ณ วันที่ 15 มีนาคม 2567 MAGURO มีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์รวม 26 สาขา ได้แก่
1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิที่มุ่งเน้นการใช้คุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น 14 สาขา
2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างเกาหลีระดับพรีเมียม 6 สาขา
3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซต้นตำหรับ 6 สาขา
[ เติบโตจากการขยายสาขา ]
ตั้งแต่เริ่มต้น MAGURO ได้ใช้กลยุทธ์การขยายธุรกิจจากการเปิดสาขาใหม่ของทั้ง 3 แบรนด์อย่างต่อเนื่อง และการสร้างรายได้ในสาขาเดิมให้เติบโตเพิ่มขึ้น
อีกทั้งบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบผสมผสานระหว่าง Data Driven และ Customer Experience ด้วยระบบ CRM
ทำให้ ณ ปัจจุบัน MAGURO มีสมาชิกมากกว่า 150,000 คน โดยมีรายได้จากสมาชิกคิดเป็น 54.36% จากรายได้รวมธุรกิจร้านอาหาร
ทั้งนี้ รายได้หลักของบริษัทฯ มาจากร้าน MAGURO คิดเป็น 61.96% รายได้จากร้าน HITORI SHABU คิดเป็น 18.94% และรายได้จากร้าน SSAMTHING TOGETHER คิดเป็น 19.10% ของรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร
[ ปี 66 กำไรสุทธิโต 131% ]
จากธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้รวมและผลกำไรสุทธิที่เติบโตสูงและต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2566 จำนวน 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% จากปี 2565 ที่ทีรายได้รวม 665.85 ล้านบาท ในปี 2565
และที่สำคัญบริษัทฯ ยังมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 72.48 ล้านบาทในปี 2566 เติบโตสูงถึง 131.12% จากกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท
ส่วนในปี 2567 บริษัทคาดรายได้เติบโตประมาณ 30% จากปี 2566 ที่มีรายได้ 1,045.81 ล้านบาท เนื่องจากการขยายสาขาใหม่เพิ่ม และการเปิดแบรนด์ร้านอาหารใหม่ ส่วนในปีถัดๆ ไปก็คาดหวังรายได้เติบโตประมาณ 30%
[ ปี 67 เปิดเพิ่มอีก 11 สาขา ]
แน่นอนว่าจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจ จากการเปิดสาขาใหม่ที่ได้ประสบผลสำเร็จอย่างดี MAGURO จึงมีแผนที่จะเปิดร้านเพื่อขยายอาณาจักรให้ใหญ่โตเพิ่มขึ้น
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดสาขาใหม่จำนวนกว่า 9 สาขา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค และนี้ในปี 2567 บริษัทฯ ยังวางแผนเปิดเพิ่มอีก 11 สาขา ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
นอกจากนี้ ยังมีแผนหาเงินปรับปรุงสาขาเดิมและปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
[ เข้าตลาด mai ไตรมาส 2 ]
โดยบริษัทฯ จะใช้แผนการระดมทุนในครั้งนี้ ด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด
ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 21,460,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 17.03% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte. Ltd. (“HOLISTIC IMPACT”) จำนวนไม่เกิน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.00%
สำหรับไทม์ไลน์ของการเปิดขายไอพีโอ บริษัทฯคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2 นี้ โดยบริษัทจะเข้าจทะเบียนในตลาดหุ้นเอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งหลังจากระดมทุนเรียบร้อยแล้วบริษัทมั่นใจว่า Maguro Group จะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง