SHARE

คัดลอกแล้ว

นิติ ชัยชิตาทร ชื่อนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตากันเท่าไร แต่หากเป็นชื่อ “ป๋อมแป๋ม” น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพราะเรามักเห็นหน้าค่าตาของเขาในรายการทีวีต่างๆ ตั้งแต่รายการแรกๆ อย่าง เทยเที่ยวไทย รายการพาเที่ยวที่ฉีกทุกกฎของรายการพาเที่ยวที่แท้จริง หรือจะเป็น ทอล์ก-กะ-เทย รายการทอล์กโชว์ผสมวาไรตี้สนุกๆ และในช่วงนี้เราอาจจะได้เห็นเขาในละคร ซีรีส์ และภาพยนตร์ไทยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Wake Up ชะนี, F4 Thailand: หัวใจรักสี่ดวงดาว, ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค, มาตาลดา, One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ, Long Live Love! ลอง ลีฟ เลิฟว์!, เธอ ฟอร์ แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน และอีกมากมาย

เห็นรายชื่องานแสดงยาวเหยียดแบบนี้แล้ว อาจจะลืมไปว่าจริงๆ แล้วป๋อมแป๋มเป็นครีเอทีฟและโปรดิวเซอร์มือฉมังของ GMM ทำงานอยู่เบื้องหลังมาก่อน จนกระทั่งโด่งดังเป็นพลุแตกจากการขยับมาทำงานเบื้องหน้า ทั้งการเป็นพิธีกร และนักแสดง ซึ่งก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้งานเบื้องหลังจริงๆ

สปีคอิงลิชได้เพราะมีแฟนเป็นฝรั่ง

แม้ว่าในแง่ของการใช้ภาษาไทยอย่างฉะฉานและเล่นคำได้สนุกสนานจนได้คำศัพท์ใหม่ๆ จากป๋อมแป๋มกันอยู่บ่อยๆ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าป๋อมแป๋มใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเช่นกัน จากการมีแฟนคนแรกเป็นชาวอังกฤษ ที่ทำให้เขาพูดได้ แถมยังบอกว่าด่าเป็นภาษาอังกฤษได้จากการมีแฟนเป็นคนอังกฤษอีกด้วย

ป๋อมแป๋มเล่าไปหัวเราะไประหว่างให้ส้มภาษณ์ในรายการ AIM HOUR ของ TODAY ว่า “อย่างเดียวที่รู้สึกว่าเป็นข้อเสียของการมีแฟนต่างชาติ คือเวลาทะเลาะกัน เราก็ฟังออกหมดนะ แต่คิดไม่ออกว่าจะเถียงกลับว่าไง บางครั้งเราก็ด่าภาษาไทยใส่ไปเลย ไม่เข้าใจก็ไม่สน อย่างน้อยเราได้สะใจพอ”

ซีรีส์ Friends ครูสอนภาษาอังกฤษคนแรก – เพื่อนในอุดมคติ

จริงๆ แล้วภาษาอังกฤษที่ป๋อมแป๋มพูดได้ ไม่ได้มาจากแฟน แต่มาจากซีรีส์ยอดนิยมสุดอมตะของโลกอย่าง Friends ซึ่งเป็นซีรีส์ที่ป๋อมแป๋มรักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

“Friends เป็นครูภาษาอังกฤษคนแรกของแป๋ม จำได้ว่าแป๋มมีวิทยุ กับเทปเปล่าๆ มันฉายในรายการ IBC2 แป๋มอัดใส่เครื่องอัดเทปไว้ฟัง วางไว้หน้าทีวี แล้วก็อัดเสียงไว้ฟังว่าเขาคุยอะไรกัน เป็นครั้งแรกที่แป๋มรู้สึกว่าตัวเองสนใจด้านภาษา”

ความชอบในซีรีส์ Friends ของป๋อมแป๋ม ถึงขั้นที่เดินทางไปลอนดอนเพื่อเยี่ยมชมงาน Friendsfest ซึ่งเป็นนิทรรศการสำหรับแฟนคลับ Friends โดยเฉพาะ และยังไปคนเดียวอีกด้วย

Friends: The Reunion

“ใน Friends: The Reunion เห็นฉากมิตรภาพที่เพื่อนช่วยเพื่อน แป๋มร้องไห้เป็นบ้าเลยตอนนั้น เพราะในความเป็นจริงแป๋มไม่มีเพื่อนแบบนั้นเท่าไหร่ เพื่อนแบบในเรื่อง Friends แป๋มมีเพื่อนเยอะก็จริง แต่ไม่มีคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท ตอนเรื่องนี้ฉาย แป๋มยังอยู่แค่มัธยมเอง รู้จักคนเยอะมาก แต่ไม่มีเพื่อนสนิทแบบนั้น แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือน 2 ตัวละครนี้ Phoebe กับ Chandler พอรู้ว่าเขาเสียชีวิต มันรู้สึกเหมือนตัวตนของเราส่วนนึงมันหายไปด้วย”

“การที่เรามีคนคอยสนับสนุน แป๋มคิดว่าคนเรายังขาดสิ่งนี้อยู่ อยากถูกช่วยเหลือ มีคนสนับสนุนบ้าง เรามีแรงสนับสนุนจากโซเชียล แป๋มไม่คิดว่ามันเหมือนกันกับการมีคนสนับสนุนจริงๆ โซเชียลมันเป็นการไหลๆ ตามกัน มันไม่ได้ช่วยเราจริงๆ ไม่ใช่ที่ที่เราทิ้งตัวได้ ทำตัวเป็นเด็กได้ ทำตัวไม่มีเหตุผลได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ Friends ฝากไว้ให้เราคิด”

ความรักที่ว่าแน่ ก็แพ้อาการปวดหลัง

เหมือนจะเป็นเรื่องดีที่ได้ภาษาอังกฤษจากการได้ลองคบหากับชาวต่างชาติ แต่ป๋อมแป๋มบอกว่า เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกหวานฉ่ำในลักษณะที่มีการพูดคุยหยอกเอินกันมากนัก เพราะแฟนของเขาแต่ละคนมักมีอายุมากกว่าค่อนข้างเยอะ แต่แม้ว่าเขาจะคุยเรื่องเรียน ส่วนแฟนคุยเรื่องทำงาน ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนก็ยังไปด้วยกันได้

ป๋อมแป๋มเล่าว่า “จริงๆ แล้วแป๋มไม่ได้มีแฟนมา 7-8 ปีแล้ว ไม่ได้คิดว่ามันจำเป็น คิดว่าถ้าเรามีมันก็ชีวิตดีนะ แต่ถ้ารู้ว่ามีแล้วมันทุกข์ ทำให้ทุกอย่างแย่ แป๋มก็จะรีบตัดมันออกจากชีวิตแบบไม่รู้สึกเสียดายเลย เพราะในวัยนี้การมีแฟนหรือความสัมพันธ์มันไม่ได้สำคัญแล้ว มันอาจจะเคยสำคัญสำหรับแป๋มในช่วงอายุ 20 ปีเป็น 1 ใน 3 อย่างที่สำคัญในตอนนั้น ยังไม่จัดว่าเป็นอันดับหนึ่งนะ แต่ 3 อย่างสำคัญตอนนี้คือ สุขภาพ ครอบครัว และอนาคตงานที่มั่นคง ในเมื่ออีกไม่กี่ปีเราก็จะ 50 ปีแล้ว ไม่อยากจะมีความสัมพันธ์อะไรขนาดนั้นแล้ว”

“ถ้ามันไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับชีวิตเรา ก็ขอผ่านก่อนก็ได้ไม่เป็นไร”

ป๋อมแป๋มเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่า ‘รักคือที่สุดในชีวิต เราตายแทนคนๆ นึงได้ ยอมทุกอย่าง ให้เขาทุกอย่างเพราะรัก’ แต่สุดท้ายแล้ว ความรักก็ยังแพ้สุขภาพที่แข็งแรง ถึงขนาดเปรียบเปรยว่า ความรักไม่ได้ทำให้เราตาย แต่เราอาจจะจากการปวดหลังปวดเอวได้

เอกลักษณ์ความเป็นคนไทย

ในฐานะที่ป๋อมแป๋มเป็นครีเอทีฟ นักสร้างสรรค์ เป็นนักสร้างเสียงหัวเราะ และมีโอกาสได้เดินทางไปหลายประเทศ ป๋อมแป๋มมองว่าคนไทยเป็นชนชาติที่ปรับตัวตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อมได้เก่งมาก

“เคยมีครั้งนึงแป๋มจำได้แม่นมาก มันมีท่อที่ไม่มีฝาปิด แล้วต้องติดป้าย ‘อันตราย’ ‘โปรดระวัง’ แต่คนทำอาจจะหาไม้มาปักไม่ทัน เขาใช้จอบ ปักตรงหน้าหลุม แล้วเอาป้ายติดที่จอบ ‘อันตราย โปรดระวัง’ มันน่ารักมาก”

“เราประยุกต์กันเก่งมาก มีของแค่อย่างเดียว แต่เราเอามาใช้ได้หลายวิธีมาก เหมือนเครื่องครัว ถ้าเป็นที่ฝรั่งเศส อุปกรณ์หนึ่งอย่าง ก็มีไว้ทำแค่อย่างเดียว แต่คนไทยเราประยุกต์ได้หมด ผสมผสาน”

“มีวันนึงเราไปกินช็อกโกแลตกัน ต้องเอามาทุบให้แตก เรามีช็อกโกแลตที่ทิ้งไว้นานแล้ว ต้องเอามาทุบเป็นชิ้นๆ กว่าค้อนจะมา เชฟกับผู้ช่วยปล่อยให้รอนานมาก เราก็รอไปเรื่อยๆ สักพักเขาก็กลับมาพร้อมค้อน แล้วเรานักเรียนไทยไง ไปเอาหม้อมาทุบๆ ก็ไม่รู้ว่าเชฟเขาตกใจอะไรกัน แบบ ว้าว เราคิดได้ไง”

เกิดมาเพื่อเป็นครีเอทีฟ

อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า ป๋อมแป๋มเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นคนเบื้องหลัง เป็นครีเอทีฟและโปรดิวเซอร์ให้กับรายการทีวีของ GMM “แป๋มยังคิดว่าแป๋มถนัดเรื่องการสร้างอะไรใหม่ๆ แป๋มไม่ถนัดการจัดแจง ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ ในฐานะโปรดิวเซอร์ เรามีทีมที่ดีคอยช่วยเหลือเรา”

“เป็นคนชอบสร้างสรรค์ ชอบหยิบเอาสิ่งนู้นสิ่งนี้มารวมกัน ทำให้เกิดสิ่งใหม่ เป็นอะไรที่ทำแล้วก็ยังสนุกอยู่ เรายังรู้สึกดีที่ได้ทำมัน ก็ไม่รู้เพราะอะไร”

ตัวอย่างของการผลงานที่มาจากความคิดสร้างสรรค์ บวกกับความชอบเรื่องราวเก่าๆ เพลงเก่าๆ ละครเก่าๆ เป็นการส่วนตัว จึงก่อกำเนิดออกมาเป็นรายการ One Upon a Good Time ที่จะได้เห็นเหล่าคนดังในอดีตที่ยังคงเป็นตำนานที่ยังชีวิตอยู่ในตอนนี้ มานั่งพูดคุยให้สัมภาษณ์รำลึกความหลังกันอย่างสนุกสนานตามสไตล์ของป๋อมแป๋ม ตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเป็นรายการที่ทำแล้วมีความสุขมากทุกตอน

“รายการบางตอนแป๋มเหมือนต้องหยิกตัวเองตลอดเวลา เช่น สันติสุข-จินตรา เพราะมันเหมือนอยู่ในฝันเลย ทั้งสองคนไม่เคยให้สัมภาษณ์คู่กันมาก่อนตั้งแต่เข้าวงการ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขามานั่งตรงหน้าให้แป๋มสัมภาษณ์ ถ้าได้ดูรายการตอนนั้น บางช่วงแป๋มหลุดไปเลย เพราะแป๋มไม่เชื่อตัวเองว่าทั้งคู่จะมานั่งอยู่กับแป๋มด้วย”

นอกจากสันติสุข-จินตรา คู่พระนางขวัญใจชาวไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังมีตอนที่นักแสดงนำภาพยนตร์ไทยในตำนานอีกเรื่องอย่าง O-negative ทั้ง 5 คนที่มาพูดคุยราวกับจัดงานคืนสู่เหย้า หรือจะเป็นตอนที่พิธีกรรายการ Strawberry Cheesecake ที่แย่งกันพูดเพราะต่างคนต่างคิดถึงบรรยากาศในวันวาน ทำให้รายการ One Upon a Good Time เป็นอีกหนึ่งรายการที่คนไทยดูแล้วอบอุ่นหัวใจเคล้าไปกับเสียงหัวเราะได้ตลอดตั้งแต่นาทีแรกยันนาทีสุดท้าย

“แขกรับเชิญส่วนใหญ่ที่มาชอบบอกว่า ‘บางเรื่องก็อาจจะลืมไปแล้วนะ’ เพราะว่ามันนานมากแล้ว แต่ถ้าเริ่มจำได้อย่างนึงแล้ว มันจะเหมือนบีบขวดซอสมะเขือเทศ บีบซอสหยดแรกออกมาได้เมื่อไหร่ ที่เหลือมันพรั่งพรูออกมาเลย สนุกมาก”

“พอเราแก่แล้ว ทำไมไม่รู้ เวลาเล่าเรื่องเก่าๆ หรือประสบการณ์อะไร ในวัยนี้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปหมด ถึงตอนที่มันเกิดจริงๆ เราอาจจะเกือบตายก็ตาม แต่ทำไมไม่รู้ ถ้าเราเอากลับมาเล่าตอนนี้ มันจะเป็นเรื่องเล่าที่สนุกมาก กลายเป็นเรื่องตลกเลย ไม่รู้ทำไม”

วิกฤตวัยกลางคน

แม้ว่าการเป็นคนที่มีอายุขึ้นมาสักนิด นั่งเล่าเรื่องราวเก่าๆ ย้อนวัยในอดีตจะเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะมีความสุขดี แต่อันที่จริงแล้วป๋อมแป๋มเองก็เผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘วิกฤติวัยกลางคน’ เหมือนคนอื่นเขาเหมือนกัน

“ช่วงโควิด ช่วงแป๋มอายุ 40 พอดี โดนยกเลิกงานเยอะมาก รายการที่ทำอยู่ก็โดนยกเลิก บริษัทแป๋มต้องปรับตัว เปลี่ยนให้มีความสมัยใหม่มากขึ้น เข้ากับผู้ชมที่อายุน้อยลง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่แป๋มถนัดอีกแล้ว แล้วพอโควิดมา แป๋มคิดว่าตัดสินใจถูกมากๆ ที่ตอนนั้นย้ายไปอยู่หัวหิน มันสบายใจกว่ามาก”

“ไปอยู่ตรงนั้นก็ว่างมาก น่าจะเพราะสิ่งแวดล้อมที่นั่นด้วย แล้วก็ได้เจอคนใหม่ๆ ด้วย คนที่นั่นเขาอิสระกันมากเลย ส่วนมากเป็นนักเซิร์ฟ บางคนทำงานเปิดร้านอาหารเพราะแค่อยากเปิดเฉยๆ ไม่มีอะไร ชีวิตดีมาก อยากทำบ้างจัง ตอนนั้นก็ถามตัวเองว่า เราจะมีชีวิตแบบนั้นได้ไหม เพราะถ้าเรายังทำงานหนักเหมือนตอนอายุ 30 อยู่แบบนี้ มันไม่มีทางเลย แล้วส่วนใหญ่เขาอายุน้อยกว่าแป๋ม มันก็เลยเกิดคำถาม ว่านี่เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า เพราะถ้าแป๋มไม่ทำงานด้านสื่อ แป๋มรู้เลยว่าแป๋มไม่มีความสามารถด้านอื่นเลย”

“แป๋มเคยเล่นเทนนิส แต่ก็เลิกไปตั้งแต่ 8 ขวบ ไม่ได้พัฒนาสกิลตรงนี้แล้ว คอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่แป๋มใช้ทำงาน มันเหมือนอยู่ในตู้เซฟ อยู่ในสมองของแป๋มอยู่แล้ว เหมือนแป๋มเก็บสะสมไว้ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วเอาออกมาใช้ ตอนนี้มันก็ยิ่งน้อยลงๆ เรื่อยๆ มันก็เลยทำให้แป๋มคิดได้ว่า โอเค บางทีเราต้องเริ่มทำอย่างอื่นบ้างแล้วแหละ ต้องเริ่มทำสิ่งที่เราเคยอยากจะทำ”

“อย่างแรกแป๋มเลือกเรียนวิชาเขียนบทภาพยนตร์ แล้วแป๋มก็กลับไปเล่นเทนนิส แล้วก็เรียนทำอาหาร ในที่สุดก็ได้รู้แล้วว่ามันมีอะไรที่เราทำได้ เป็นอะไรที่ต่อยอดได้จากสิ่งที่ทำอยู่”

“วิกฤติวัยกลางคนมันคือความสับสน มันคือความไม่แน่ใจ เป็นการตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาครึ่งชีวิตเราทำอะไรอยู่ มันคุ้มไหม? มันถูกต้องไหม? เราเดินมาถูกทางไหม? แล้วเราก็อยู่ได้อีกไม่นาน เราได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง เพื่อโลกนี้มากพอรึยัง แป๋มคิดว่าที่ผ่านมาแป๋มสร้างอะไรๆ ไว้มากพอแล้ว”

สิ่งที่อยากกลับไปบอกตัวเองในอดีต

เมื่อถามถึงสิ่งที่น่าจะดีมากหากป๋อมแป๋มอายุ 44 ปีได้ย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัย 25-35 ปี ป๋อมแป๋มยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะตอบอย่างรวดเร็วว่า “อาจจะบอกให้ทำงานน้อยๆ หน่อย แล้วก็จัดการเวลาให้ดีกว่านี้ เวลามีคนขอความช่วยเหลือ ต้องรู้จักปฏิเสธให้เก่งกว่านี้ แป๋มเรียกว่าโรคคนดี กลัวไม่ถูกรัก กลัวถูกโกรธ”

ดื่มด่ำกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ บ้าง

เห็นเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ จริงๆ แล้วป๋อมแป๋มเองก็ยอมรับว่าตัวเองมีสิ่งที่กังวลอยู่เหมือนกัน “แป๋มมีสิ่งที่กังวลนะ แป๋มไม่ได้ซ่อนมันไว้หรอก แป๋มแค่มีคนที่เราคุยด้วยได้ ปรึกษาได้ ร้องไห้ด้วยได้ สิ่งสำคัญตรงนี้ก็คือการมีคนคอยสนับสนุน”

แต่เป็นเรื่องดีที่ป๋อมแป๋มสามารถหาวิธี ‘ฮีล’ ตัวเองได้ง่ายๆ

“แป๋มเคยทำแบบนี้ในไอจี ทุกวันๆ ศุกร์ แป๋มจะชวนทุกคนมาแชร์สิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ในไอจี บางทีแป๋มอ่านคอมเมนต์ไปก็ยิ้มไปนะ เห็นทุกคนออกมาแชร์รอยยิ้ม ส่งต่อพลังบวกแล้วแป๋มยิ้มตามเลย แต่มันมีบางคอมเมนต์บอกว่า ไม่มีอะไรให้ยิ้มเลยวันนี้ ไม่มีอะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุขได้เลย โอเค แบบนี้แปลว่าคุณไม่ได้อ่านเลย แป๋มรู้เลยเวลาที่คนเราไม่ยอมรับพลังบวกเข้ามา หรือถ้าเวลาคนเราอยากจมอยู่กับความทุกข์ เขาก็จะไม่มองสิ่งรอบตัวเลย อยากจะจมอยู่กับตัวเอง”

“บางครั้งแป๋มอ่านดู มันเป็นเรื่องที่เล็กมากๆ บางคนยิ้มกับกาแฟ อย่างน้อยมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนิดนึงนะ แป๋มคิดว่าความสุขอยู่รอบตัวเรานะ เราดื่มด่ำกับมันได้ ไม่ได้จะโลกสวยอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์นะ แต่แป๋มยังเชื่อว่ามีอีกหลายอย่าง ที่สร้างความสุขให้เราได้ บางครั้งมันอาจจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากๆ แค่อย่ามองข้ามมัน”

“แป๋มเคยได้รับเชิญไปพูดในบริษัทใหญ่ที่นึง ทำงานเกี่ยวกับ Call Center ไปพูดเรื่องความสุขนี่แหละ แล้วมีคนบอกว่า ก็รู้นะว่าอารมณ์คนเราแต่ละวันขึ้นอยู่กับอย่างแรกที่ทำในตอนเช้า แต่คนทำงาน Call Center สายแรกโทรมาก็โดนด่าแล้ว แล้วจะให้ทำไง แป๋มว่า ‘โทษนะ อย่างแรกที่เราทำตอนเช้าไม่ใช่รับโทรศัพท์’ อย่างแรกล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าวเช้า ไปอึ มีเวลา 1-2 ชั่วโมงนะ ให้เก็บเกี่ยวความสุขก่อนไปโดนด่า ถ้าเราเก็บเกี่ยวมันได้มากพอ ถึงจะโดนทำลายความมั่นใจขนาดไหน ความสุขตรงนี้ก็ยังเป็นอะไรที่คอยดึงเราไว้อยู่”

น้ำตาแห่งความสุขในวัยกลางคน

สิ่งหนึ่งที่ป๋อมแป๋มได้เรียนรู้เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นคือ เราไม่ได้ร้องไห้เพราะเสียใจอีกต่อไป 

“ในวัยนี้เราไม่ร้องไห้เพราะเสียใจนะ เราร้องไห้ในงานสำคัญๆ โดยเฉพาะตอนคนลุกปรบมือกัน เราร้องเพราะประทับใจ ร้องเพราะเรื่องดีๆ เป็นน้ำตาแห่งความสุข”

“แป๋มติดตามไอจี แล้วเห็นข่าวดีของใคร หรือได้เห็นความทรงจำดีๆ ของใครผ่านมา แป๋มร้องเหมือนเด็กเลย แต่ร้องเพราะมีความสุข มันแปลว่าแป๋มยังมีความรู้สึกอยู่ ไม่ได้เศร้า ทำให้รู้ว่าเราก็เป็นแค่คนๆ นึง แล้วก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัว มันดีมากเลย”

ภาษาอังกฤษสำคัญต่อนักสร้างคอนเทนต์

ปิดท้ายบทสนทนากันด้วยเรื่องความสำคัญของภาษาอังกฤษ ที่เป็นกุญแจสำคัญของคลังไอเดียที่ป๋อมแป๋มหยิบมาใช้กับงานของตัวเอง และคอยแนะนำทีมงานของตัวเองให้ดูคอนเทนต์ภาษาอังกฤษอยู่เสมอ

“แป๋มพยายามบอกให้ทีมดูรายการภาษาอังกฤษให้เยอะขึ้น ไม่งั้นก็จะดูวนๆ อยู่แต่รายการไทย หรือดูอะไรที่มันมี Subtitle ให้อยู่แล้ว เพราะพี่ฉอดบอกแป๋มว่า ยิ่งดูเยอะยิ่งดี ยิ่งมีโอกาสเห็นอะไรอีกเป็นล้านอย่าง เช่น ถ้าให้เลือกรูปที่สวยที่สุดในชีวิตมา ทั้งชีวิตเราเคยเห็น 100 รูป เราก็จะเลือก 1 รูปที่ดีที่สุดจาก 100 รูป แต่ถ้าแป๋มเคยเห็นมาแล้วเป็นล้านรูป รูปที่ดีที่สุดของแป๋ม มันคัดมาแล้วว่าดีที่สุดจาก 1,000,000 รูป ซึ่งถ้าคำนวนตามหลักคณิตศาสตร์ หนึ่งในล้านมันต้องดีกว่าหนึ่งในร้อยอยู่แล้ว แป๋มสามารถเข้าถึง สนุกกับการชมคอนเทนต์ได้เยอะเพราะแป๋มเข้าใจภาษาอังกฤษ เข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น ”

“เรื่องคนก็เช่นกันนะ แป๋มได้พูดคุย ได้สื่อสารกับคนที่บางทีเรายังคิดไม่ถึงเลยว่าเราจะได้คุยกับเขา พอเรามีแหล่งข้อมูลเก็บใส่ลิ้นชักไว้ในหัว พอเราอยากจะใช้อะไร เราก็แค่หยิบเอาออกมาใช้ คิดว่าเราได้เปรียบกว่านิดหน่อยเทียบกับคนที่ไม่ได้ภาษา”

ปิดท้ายกันจริงๆ ด้วยบทสนทนาระหว่างป๋อมแป๋มและ เอม นภพัฒน์จักษ์ ที่ผลัดกันเล่าถึงฉากที่ประทับใจที่สุดจากซีรีส์ Friends บอกได้เลยว่าป๋อมแป๋มเป็นแฟนพันธุ์แท้ Friends จริงๆ ใครอยากดูความเนิร์ดของป๋อมแป๋มกันแบบได้อรรถรสทั้งภาพและเสียง คลิกชมรายการ AIM HOUR เต็มๆ ที่คลิปด้านล่างได้เลย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า