ในทุกๆ ปีจะมีสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดหมุนเวียนสลับเปลี่ยนกันไป แสดงให้เห็นว่าไม่มีสินทรัพย์ไหนที่เป็นที่หนึ่งไปตลอด ความคิดนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจว่าทุกสินทรัพย์มีขึ้นและลง การลงทุนจึงเป็นเรื่องของจังหวะและเวลาที่เหมาะสม
‘วิน พรหมแพทย์’ CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เล่าให้ฟังถึงเป้าหมายขององค์กรที่มุ่งมั่นในการสร้างพอร์ตลงทุนที่สมดุลและสะท้อนให่นักลงทุนเห็นว่าการลงทุนมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ
โดยหากย้อนดูผลตอบแทนในตลาดหุ้นทั่วโลกและเอเชียจะพบว่าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในแต่ละปีจะสลับๆกันไป อย่างในปี 2020 หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดคือ ตลาดหุ้นไต้หวัน 42% ปี 2021 ตลาดหุ้นสหรัฐ 28.7% ปี 2022 ตลาดหุ้นไทย 5.2% และปี 2023 ตลาดหุ้นไต้หวัน 31.3%
ดังนั้น ทุกสินทรัพย์มีการผันผวนและเปลี่ยนแปลงตามภาวะตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนรวมถึงผู้จัดการกองทุนไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือการจัดพอร์ตลงทุนที่สมดุลสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี เพื่อให้ผลตอบแทนที่อาจจะลดลงไม่ลดลงมากจนเกินไป
สำหรับการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolio แนะนำให้นักลงทุนลงทุนใน Core Port ถึง 80% เนื่องจาก Core Port จะช่วยสร้างสมดุลให้พอร์ตผันผวนลดลงได้ ส่วนอีก 20% ลงทุนใน Satellite แบ่งเป็น หุ้นอินเดีย เวียดนาม ไทย และสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง อสังหาริมทรัพย์
เนื่องจากจากประเทศอินเดียเศรษฐกิจเติบโตได้เป็นอย่างดี ตัวเลข GDP อยู่ที่ 6-7% ต่อปีและยังได้แรงหนุนจากรัฐบาลที่ดีมากๆ อีกด้วย ส่วนเวียดนามก็เป็นอีกประเทศที่มี GDP โต 6-7% ต่อปี มีกำไรบริษัทจดทะเบียนโต20สูงถึง 20% ถือว่าเติบโตดีมากในขณะที่ PE หุ้นยังต่ำ
ขณะที่ประเทศไทยเศรษฐกิจยังไปต่อได้ และได้แรงหนุนจากกองทุนวายุภักษ์และกองทุนประหยัดภาษีช่วยปลายปีน่าจะดันตลาดให้บวกได้ดีขึ้น มองเป้าปลายปี 2024 ที่ระดับ 1,450-1,500 จุด และปี 2025 ที่ระดับ 1,600 จุด ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างอสังหาฯ มองว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและกำลังเติบโตได้ดี
สำหรับระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนของกองทุนใน Core Portfolio บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ส่วนกองทุนใน Satellite Portfolio แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะสั้นอย่างน้อย 3เดือน
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดหวังว่าจากการวางโครงสร้างการลงทุนอย่างยั่งยืนนี้ให้นักลงทุนและการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า จะทำให้องค์กรเติบโตมากยิ่งขึ้นและมุ่งสู่เป้าหมาย 1.80 ล้านล้านบาทในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 และตั้งเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้าเติบโตไปถึงระดับ 2 ล้านล้านบาท