คดีฉ้อโกงประวัติศาสตร์ของเวียดนาม ที่ทำให้มหาเศรษฐีใหญ่ต้องถูกลงโทษประหารชีวิต แต่เธอกำลังขอต่อรองจ่ายเงินคืน 380,000 ล้านบาท แลกกับไม่ถูกประหาร
มหากาพย์นี้ยิ่งกว่านิยายที่สะท้อนปัญหาฉ้อโกงและการทุจริตระดับชาติของเวียดนาม ที่ตอนนี้กำลังเป็นดาวรุ่งเศรษฐกิจของเอเชีย
[ความคืบหน้าล่าสุด 3 ธ.ค.] ศาลเวียดนามยืนโทษประหาร ปัดข้อเสนอจ่ายเงินคืน ชี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ กระทบเศรษฐกิจ-สังคมเวียดนาม และจำเลยไม่น่าหาเงินมาคืนได้ จับตาทางรอดสุดท้ายขอนิรโทษกรรม
คดีนี้เป็นคดีของนางเจือง มาย หลั่น มหาเศรษฐีชาวเวียดนามวัย 68 ปี ที่ถูกตั้งข้อหาและศาลเวียดนามตัดสินโทษสูงสุดประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษ
คดีนี้เป็นคดีที่ใหญ่มาก เพราะเธอเป็นผู้หญิงไม่กี่คนที่ต้องโทษรุนแรงขนาดนี้ในเวียดนาม และนี่ยังเป็นคดีทุจริตที่มีมูลค่าความเสียหายมหาศาลถึงกว่า 1.5 ล้านล้านบาท
ที่มาที่ไปของคดีนี้ มาจากนางหลั่น ซึ่งมีพื้นเพมาจากครอบครัวเชื้อสายจีน-เวียดนามในไซ่ง่อน หรือโฮจิมินซิตี้ในปัจจุบัน เธอได้เริ่มธุรกิจจากการขายของชำ ขายเครื่องสำอาง จนกระทั่งสร้างตัวจากการถือครองอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในยุคปฏิรูปเศรษฐกิจใหญ่ ‘ดอย เหมย’ ในปี 1986 จนทำให้เธอเป็นเจ้าของที่ดิน และเจ้าของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารหลายแห่ง
เป็นที่รู้กันว่า ที่ดินในเวียดนามทุกตารางนิ้วเป็นของรัฐ ดังนั้นการที่เธอถือครองที่ดินจำนวนมากได้ ย่อมมีสาเหตุจากความใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอาจมีส่วนพัวพันกับการทุจริตคอรัปชัน
แต่ถึงอย่างนั้น เส้นทางนี้ทำให้นางหลั่นเป็นมหาเศรษฐีชื่อดัง และทำให้ในปี 2011 เธอได้รับอนุญาตให้เข้าไปควบรวมกิจการธนาคารขนาดเล็ก 3 แห่งที่ประสบปัญหาทางการเงิน จนกลายเป็นธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’
ตามกฎหมายของเวียดนาม บุคคลห้ามถือหุ้นธนาคารเกิน 5% แต่นางหลั่นเลี่ยงกฎหมายนี้ด้วยการตั้งบริษัทเปล่า (shell companies) และนอมินีจำนวนมากมาถือหุ้นแทน จนทำให้ในความเป็นจริง เธอเป็นเจ้าของธนาคารแห่งนี้ในสัดส่วนกว่า 90%
เธอใช้อำนาจแต่งตั้งคนของตัวเองเป็นผู้จัดการเอื้อประโยชน์ในการออกเงินกู้ จนทำให้ยอดกู้ของเธอพุ่งสูงขึ้น 93% ของเงินทั้งหมดที่ธนาคารปล่อยกู้ แถมยังสั่งให้คนขับรถถอนเงินสดจากธนาคารมากถึง 108 ล้านล้านดอง หรือราว 80,000 ล้านบาท มาเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินบ้านตัวเอง
นอกจากนี้ยังพบว่านางหลั่นจ่ายสินบนมหาศาลให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ หนึ่งในนั้นคือการจ่ายสินบนให้กับผู้ตรวจสอบของธนาคารกลางเวียดนามเป็นเงินถึง 172 ล้านบาท ซึ่งก็ทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับสินบนรายนี้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว
ศาลเวียดนามตัดสินประการชีวิตนางหลั่นเมื่อเดือนเมษายน จากการที่เธอยักยอกเงินราว 420,000 ล้านบาทจากธนาคารของเธอ รวมถึงมีความผิดฐานยักยอกเงิน และละเมิดเกณฑ์การกู้ยืมเงิน
ขณะที่ในเดือนตุลาคม ศาลเวียดนามพิพากษาอีกคดี จำคุกนางหลั่นตลอดชีวิตจากการโยกย้ายเงิน 155,000 ล้านบาทข้ามพรมแดน ฟอกเงิน 600,000 ล้านบาท และใช้เงินระดมทุนจากพันธบัตร 41,000 ล้านบาทอย่างผิดกฎหมาย
คดีความของนางหลั่น กลายเป็นเรื่องฮือฮาในสังคมเวียดนาม และแน่นอนว่าคนเวียดนามสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเธอก็เป็นที่รู้จักในสังคมไฮโซ ขณะเดียวกัน สังคมยังตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ตรวจสอบของภาครัฐ และยังสะท้อนปัญหาทุจริตรับสินบนที่ซึมลึกในสังคมเวียดนาม
ที่สำคัญ ผู้เสียหายในคดีนี้ยังมีจำนวนมากถึง 36,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากในธนาคารของนางหลั่นที่ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ จนทำให้เกิดการประท้วง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นได้ในสังคมที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์
แรงกดดันจากคดีนี้ถึงขั้นทำให้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามต้องออกมาสัญญากับประชาชนว่า จะดำเนินการเรื่องนี้โดยเด็ดขาด
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (26 พ.ย.) นางหลั่นแถลงต่อศาลขอให้ลดโทษประหารชีวิต และประเมินการดำเนินคดีต่อเธอใหม่ โดยระบุว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเรื่องทั้งหมดทำให้ความฝัน ความหวัง ความแข็งแกร่งทางใจของเธอและคนจำนวนมากได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
เธอพยายามต่อสู้ว่า ในช่วงที่ผ่านมาเธอได้อุทิศตัวเพื่อฟื้นฟูธนาคารขึ้นมาใหม่ จนไม่มีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เธอและสามียังใช้เวลาหลายปีพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ทันสมัยจนมีส่วนให้ประเทศเวียดนามเติบโต
เธอบอกว่าในคดีนี้ เธอเป็นทั้งผู้ถูกกล่าวหาและเป็นทั้งเหยื่อ พร้อมเสนอเงื่อนไขว่า เธอจะจ่ายค่าเสียหายคืนให้กับธนาคารกลางเวียดนาม และจะอุทิศเงินที่เหลือจากการจ่ายหนี้คืนไปสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน และบ้านพักสำหรับคนจน
ดูเหมือนว่า เธอจะใช้การต่อสู้เพื่อลดโทษ โดยอาศัยข้อกฎหมายของเวียดนามที่เธออาจได้รับการพิจารณาลดโทษประหารชีวิตได้ หากเธอสามารถจ่ายเงินคืนสามในสี่จากเงินทั้งหมดที่ยักยอกไป
ทนายความของนางหลั่นระบุว่า ในตอนนี้ทีมทนายความกำลังหาทางช่วยให้เธอพ้นโทษประหาร ซึ่งเงินที่ต้องคืนน่าจะอยู่ที่ 370,000 ล้านบาท โดยมีนักลงทุนต่างชาติพร้อมให้ยืมเงินแล้วเกือบ 14,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม อัยการในคดีนี้ประเมินว่า การขอลดโทษประหารด้วยการจ่ายเงินคืนนั้นอาจไม่เข้าเกณฑ์ในคดีนี้ เนื่องจากนี้เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเวียดนาม
