บลจ.กสิกรไทย เงินไหลเข้ากองทุนรวม 1 แสนล้านสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยตัวเลขเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนรวมกว่า 1 แสนล้านบาท คาดมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปี2567 แตะระดับ 1.7 ล้านล้านบาท 

‘วิน พรหมแพทย์’ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 2567 มีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาในปีนี้ 1 แสนล้านบาทสูงสุดตั้งแต่ด่อตั้งบริษัท โดยเงินจำนวนนี้มาจาก 3 กองทุน ได้แก่

1.กองทุนผสม ในกลุ่ม K-WealthPLUS Series มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท โดยกองทุนนี้มี 3 ระดับความเสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 6-9% 

2.กองทุนตราสารหนี้ มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะตราสารหนี้ของไทย ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนระยะยาว 2-3 ปี ประมาณ 3.2% และดีกว่ากองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอัตราแลกเปลี่ยนลดผลตอบแทน

3.กองทุนที่ลงทุนกองทุนต่างประเทศ (FIF) มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในกองทุน K-GSELECT ที่มีนโยบายกระจายลงทุนในหุ้นทั่วโลก

ซึ่งจากเงินลงทุนที่ไหลเข้ามานับว่าเป็นมูลค่าที่มากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และน่าจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 2567 เติบโตในระดับระดับ 1.7 ล้านล้านบาท 

ส่วนในปี 2568 ตั้งเป้าหมายมูลค่า AUM เพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาท เป็น 1.8 ล้านล้านบาท และวางแผนเพิ่ม AUM ในช่วง 3 ปีนี้หรือในปี  2568-2570 ขึ้นเป็น 2 ล้านล้านบาท

โดยมีแผนธุรกิจในปีหน้าอยู่ด้วยกันหลักๆ 4 เรื่อง คือ

1.เพิ่มสัดส่วนลูกค้า Core Port จากปัจจุบันที่มีอยู่ราวๆ 1 แสนคนให้เพิ่มขึ้น

2.เน้นไปที่เซเทิลไลฟ์ (Settlife) มากขึ้น

3.ปรับพอร์ตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เป็น Core Port มากขึ้น

4.ปรับ Productivity ไปใช้  Ai ,Robot มากขึ้น

สำหรับภาพรวมการลงทุนในปีหน้า มองว่าตลาดหุ้นโลกยังน่าลงทุนและมีโอกาสไปต่อ จาก 3 ปัจจัย คือ 1) ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดดอกเบี้ย 2) เศรษฐกิจสหรัฐฯยังโตได้ และ 3) มาตราการของ ‘โดนัล ทรัมป์’ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ

แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันค่อนข้างที่จะมีราคา (Valuation) ที่ค่อนข้างแพง ให้รอจังหวะรอย่อและค่อยทยอยสะสมได้

สำหรับตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2567 นี้อาจจะไปไม่ถึง 1,400 จุด จากเศรษฐกิจที่เติบโตได้ค่อยดีนัก และมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามากดดันเสริม 

ส่วนในปีหน้า 2568 ตลาดหุ้นน่าจะมีอัพไซด์ไม่มากนัก คาดอยู่ที่ระดับ 1,500-1,550 จุด ด้านกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) คาดโต 5-7% หรือกำไรต่อหุ้นที่ 95 บาท และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง

หุ้นที่แนะนำเน้นกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง (Dividend Yield) เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น