SHARE

คัดลอกแล้ว

ประเภทงานที่แรงงานไทยเลือกที่จะไม่ทำมากที่สุด คือ งาน 3ส  สกปรก, เสี่ยงอันตราย, และแสนลำบาก ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า 3D Dirty, Dangerous, และ Difficult การสำรวจพบว่า แรงงานไทยยินดีประกอบอาชีพ 3ส ในสัดส่วนที่น้อยลง ขณะที่แรงงานข้ามชาติประกอบอาชีพเหล่านี้ในสัดส่วนที่สูงขึ้น

 

ในขณะที่นายจ้างมีแนวโน้มที่จะจ้างแรงงานข้ามชาติมาทำงาน 3ส เพราะหาแรงงานไทยทำงานไม่ได้ และต้องการลดต้นทุนการผลิต ขณะเดียวกันแรงงานไทยก็ให้เหตุผลว่า งานเหล่านี้ไม่เหมาะสมกับวัยของตนเอง ไม่มีทักษะในการทำงานนั้นๆ รวมทั้งเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย สกปรก และเหม็น

“เศรษฐกิจที่พึ่งพาแรงงานข้ามชาติอย่างประเทศไทย ถ้าไม่บริหารจัดการ เราจะเป็นประเทศ 2.0 ที่เอาแต่พึ่งพิงแรงงานราคาถูกไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเทคโนโลยี และจะสูญเสียโอกาสในการพัฒนา”

รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ถือเป็นหนึ่งในนักวิชาการ ที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติมายาวกว่า 20 ปี มองว่า แรงงานข้ามชาติมีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากภาคประมง ก่อสร้าง การเกษตร ขยายจนมาถึงภาคงานบริการ และอุตสาหกรรมการผลิต

งานวิจัยของฟิลิป มาร์ติน นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี 2548 ที่ระบุจำนวนแรงงานข้ามชาติมีสัดส่วน ร้อยละ 5 ของกำลังแรงงานในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อ GDP ของประเทศ ร้อยละ 3.1 – 6.2 

ในขณะที่ปี 2566 มีสัดส่วนแรงงานข้ามชาติ ร้อยละ 6.55 ต่อจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด แรงงานข้ามชาติเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจแทบทุกภาคส่วน ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรจากการมีอยู่ของแรงงานข้ามชาติ และเรากำลังเสียโอกาสอะไรในวันที่เศรษฐกิจเอาแต่พึ่งพิงแรงงานไร้ฝีมือ

[ความสำคัญของแรงงานข้ามชาติต่อระบบเศรษฐกิจไทย]

“ถ้าวันหนึ่งแรงงานข้ามชาติหายไป เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นจะหยุดชะงัก หลายสถานประกอบการจะอยู่ไม่ได้ เพราะหาคนไทยมาทำงานไม่ได้”

อ.กิริยา กล่าวว่า ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และจะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด คือ มีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในอัตรา ร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมดในปี 2576 เมื่อมองกลับมาที่ภาคเศรษฐกิจ อุปทานของแรงงานก็ลดลงจากอัตราการเกิดที่ลดลง จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องนำเข้าแรงงาน

“ต้องยอมรับว่า วันนี้ประเทศไทยมีแรงงานในประเทศไม่เพียงพอ เราขาดแรงงานระดับทักษะสูง และงานระดับล่างไม่มีใครอยากทำ เราจึงมีทรัพยากรบุคคลที่มีแต่ทักษะระดับกลาง”

ในขณะที่แรงงานไร้ฝีมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่สามารถหางานทำได้อย่างในเมียนมา ลาว และกัมพูชา เลือกมาประเทศไทย เพราะปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และเครือญาติที่อยู่มาก่อน รวมทั้งเรื่องค่าจ้างของไทยก็อยู่ในระดับที่ดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วยกัน

“ประเทศไทยวันนี้ยังต้องการแรงงานระดับล่าง ในลักษณะที่หลากหลายไม่ใช่แค่ในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงงานดูแลเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ คนหนุ่มสาวในไทยตอนนี้ไม่พร้อมจะดูแลผู้สูงอายุในบ้าน” อ.กิริยา กล่าว

อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจไทยยังคงมีความต้องการแรงงานข้ามชาติ แต่ก็เกิดกระแสต่อต้านจากสังคม ว่าการมีอยู่ของแรงงานข้ามชาติกำลังเบียดบังรัฐสวัสดิการคนไทย และวาทกรรมที่แรงงานข้ามชาติเป็นภาระของสังคม ในประเด็นนี้ อ.กิริยา เคยได้ศึกษาเรื่องภาระการคลัง ในปี 2560 โดยดูว่าแรงงานข้ามชาติต้องจ่ายอะไรบ้างให้กับรัฐไทย ตั้งแต่ค่าธรรมเนียมต่อใบอนุญาตทำงาน, ค่าประกันสุขภาพ, ค่าตรวจสุขภาพ, ค่าประกันสังคม รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ มาเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่รัฐไทยต้องจ่ายให้แรงงานข้ามชาติ เช่น ค่ารักษาพยาบาล การศึกษาของบุตร และสวัสดิการต่างๆ

“ผลที่ออกมา คือรัฐไทยได้ประโยชน์ทางการคลัง สูงกว่าค่าใช้จ่ายทางด้านการคลัง เพราะฉะนั้นรัฐไทยเรียกเก็บเงินแรงงานข้ามชาติ มากกว่าให้เขาเสียอีก”

ทั้งนี้ประเด็นที่พึงระวังคือ เมื่อจำนวนแรงงานข้ามชาติเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการคลังในด้านสาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญ แต่ อ.กิริยา ก็เสริมข้อคิดเห็นว่า แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ที่เข้ามา คือวัยทำงานที่ยังมีสุขภาพดี 

อย่างไรก็ดี ความแออัดที่เกิดขึ้นใน รพ.รัฐ เป็นปัญหาอยู่แต่เดิม การมีแรงงานข้ามชาติเข้ามาเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลกระทบให้เกิดความไม่พอใจต่อผู้ใช้บริการรพ.รัฐ ทั้งนี้ เมื่อมองลึกเข้าไป กิริยาเห็นว่า รพ.ที่แออัดด้วยกลุ่มคนต่างชาติคือ รพ.ที่อยู่ตามพื้นที่ชายแดน สาเหตุมาจากคนข้ามแดนมารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับแรงงานข้ามชาติ ที่อาศัยและทำงานอยู่ในเขตเมือง

“การแก้ไขปัญหาไม่ใช่การไล่แรงงานกลับ แต่คือการที่รัฐไทยออกแบบระบบบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติให้เหมาะสม ไม่เดือดร้อนคนไทย และยุติธรรมกับแรงงานข้ามชาติ”

ยกตัวอย่าง เช่น การมีคลินิกต่างด้าวที่รพ.สมุทรสาคร ในพื้นที่ที่มีแรงงานข้ามชาติอาศัยอยู่หนาแน่น การแยกการบริการให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ก็มีแนวโน้มจะช่วยลดความไม่พึงพอใจต่อคนไทยที่เข้ามาใช้บริการ

โดยหากจะสรุปความสำคัญของแรงงานข้ามชาติ กล่าวได้ว่าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อและค่าจ้างลดต่ำลง ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันในสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น  รวมทั้งช่วยบรรเทาปัญหาการลดลงของผลผลิตของประเทศอันเนื่องมาจากภาวะสังคมสูงวัย 

อย่างไรก็ดี การใช้แรงงานข้ามชาติทำให้ผู้ประกอบการพึ่งพิงแรงงานไร้ฝีมือเป็นหลัก เป็นการลดแรงจูงใจที่จะพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว

[ประเทศไทยสูญเสียอะไร จากการพึ่งพิงแรงงาน (ข้ามชาติ) ไร้ฝีมือ]

“ตอนนี้สถานประกอบการไทย อยู่ที่ 2.0 ส่วนหนึ่งเพราะผู้ประกอบการไม่จำเป็นจะต้องไปใช้เทคโนโลยี เพราะมีแรงงานราคาถูกให้ใช้”

สำหรับ สถานประกอบการ 2.0 หมายถึง อุตสาหกรรมเบา เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เป็นต้น ที่ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานทักษะสูงในการผลิต กิริยายอมรับว่าบางอุตสาหกรรมอย่างไรก็ต้องใช้คน เช่น อุตสาหกรรมประมง การแปรรูปอาหารทะเล เป็นต้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยจึงติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลาง และการที่เราจะขยับขึ้นไปได้นั้น ก็ต่อเมื่อเรามีเทคโนโลยีเป็นของเราเอง ทดแทนการเป็นประเทศรับจ้างผลิต รวมทั้งการนำเทคโนโลยี เครื่องจักรเข้ามาทำงานมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าหากประเทศไทยต้องการพัฒนาไปยังอุตสาหกรรม 4.0 คือ การยกเลิกการจ้างงานแรงงานข้ามชาติไปเสียทั้งหมด กลับกัน อ.กิริยา ยกตัวอย่างการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติของประเทศสิงคโปร์ ที่มีการกำหนดโควตาแรงงานข้ามชาติในแต่ละอุตสาหกรรม ตามความต้องการของเศรษฐกิจ

“ถ้าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่คุณสามารถใช้เทคโนโลยีได้ แต่คุณใช้แรงงานข้ามชาติก็จะถูกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น”

กิริยายกตัวอย่างนโยบายของประเทศสิงคโปร์ ที่ไม่ใช้นโยบายแรงงานข้ามชาติแบบเหมาเข่งเหมือนประเทศไทย งานวิจัยของกิริยา เรื่อง ‘การศึกษาเชิงเปรียบเทียบการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยกับต่างประเทศ’ ระบุว่า ประเทศสิงคโปร์ต้อนรับแรงงานมีฝีมือมากกว่าแรงงานไร้ฝีมือ ด้วยการกำหนดโควตาการจ้างแรงงานต่างชาติ และค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างชาติรายเดือนแตกต่างไปตามประเภทอุตสาหกรรม 

โดยภาคก่อสร้างกำหนดโควตาไว้สูง หมายความว่า อนุญาตให้จ้างแรงงานต่างชาติได้จำนวนมาก ในขณะที่ภาคบริการกำหนดโควตาไว้ต่ำ หมายความว่า อนุญาตให้จ้างแรงงานต่างชาติได้จำนวนน้อย  ในขณะที่อัตราค่าธรรมเนียมจะแปรผันตามทักษะ ถ้าแรงงานต่างชาติที่จ้างมีทักษะสูง นายจ้างจะจ่ายค่าธรรมเนียมในอัตราที่ต่ำกว่ากรณีที่จ้างแรงงานต่างชาติที่มีทักษะพื้นฐาน

“แรงงานข้ามชาติยังต้องทำงาน แต่เราต้องเพิ่มทักษะเปิดโอกาสให้เขาได้พัฒนาด้วย ไม่ใช่ใช้งานไร้ทักษะแก่พวกเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้”

อคติของสังคมไทยต่อแรงงานข้ามชาติ กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กดแรงงานข้ามชาติให้กลายเป็นแรงงานไร้ฝีมืออยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เรากำลังหลงลืมว่ามีแรงงานทักษะสูงจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ต้องการโอกาสในการทำงานในประเทศไทยเช่นกัน

“หลายประเทศขยับไปเศรษฐกิจ 4.0 ด้วยการนำเข้าแรงงานมีฝีมือ แต่ประเทศไทยรับแต่แรงงานระดับล่าง เราแทบไม่มีนโยบายรับแรงงานมีทักษะเข้ามาเลย”

อ.กิริยาให้ข้อเสนอต่อเรื่องนี้ว่า เรื่องพื้นฐานที่สุดที่เราควรทำ คือทำให้แรงงานข้ามชาติทุกคนถูกกฎหมาย ต่อมาคือมีการจัดแบ่งประเภทของแรงงาน และมีการวางแผนในระยะยาวว่า เราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาไปในทิศทางไหน เพื่อที่จะสามารถกำหนดทิศทางการนำเข้าแรงงาน ให้ตรงกับอุตสาหกรรมนั้นๆ ที่เราต้องการพัฒนา

“ตอนนี้เราเห็นโอกาสที่คนหนุ่มสาวจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการศึกษาอยากเข้ามาทำงานในประเทศไทย เราต้องเปิดใจและสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรม เราได้ประโยชน์เขาก็ได้ประโยชน์เช่นกัน”

[Win-Win คนไทยได้แรงงาน-ต่างชาติได้งานทำ]

แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ที่เข้ามามักเป็นคนหนุ่มสาว ที่ปกติแล้วต้องเป็นผู้เสียภาษีมากกว่าที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐ หรือแม้กระทั่งกลุ่มบุตรของแรงงานข้ามชาติ ที่ต้องเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทย วันหนึ่งเด็กกลุ่มนี้สามารถที่จะทำงาน และเติบโตเป็นพลเมืองของไทยได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสของประเทศ ในการได้ทรัพยากรบุคคลที่เติบโตขึ้นมาในสังคมไทย ที่มีความผูกพันและสามารถมาช่วยพัฒนาสังคมไทยในอนาคต

แต่อคติที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มแรงงานข้ามชาติ กำลังจะกลายเป็นการปิดโอกาสให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น อ.กิริยา มองว่า อคติเหล่านี้จะเบาบางลง ถ้าภาครัฐทำนโยบายและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอย่างโปร่งใส แต่ทุกวันนี้อย่างที่เราเห็นว่านโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติมีความซับซ้อน มีการทุจริตเรียกรับผลประโยชน์จากตัวแรงงานข้ามชาติกันทุกหย่อมหญ้า

“ถ้าเราสามารถนำแรงงานเข้าระบบได้ทั้งหมด แรงงานก็ปลอดภัยทำงานได้อย่างมั่นคง คนไทยก็ปลอดภัย รวมทั้งเก็บภาษีได้ด้วย”

อ.กิริยา กล่าวในตอนท้ายว่า การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติเป็นเรื่องของการบูรณาการทำงานระหว่างกระทรวงมหาดไทย, สาธารณสุข, แรงงาน, สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่จุดอ่อนของรัฐไทยคือไม่มีการทำงานร่วมกัน

ดังนั้นสถานการณ์แรงงานข้ามชาติของไทย จึงวนเวียนอยู่กับการบริหารจัดการระยะสั้น โดยนโยบายเฉพาะหน้าในการเปิดให้ลงทะเบียน โดยไม่มีการคำนึงถึงนโยบายระยะยาวในการบริหารจัดการและพัฒนาทักษะแรงงาน

เศรษฐกิจไทยยังคงต้องพึ่งพิงแรงงานไร้ฝีมือต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก แต่ในระยะยาวกิริยาเสนอทางเลือกว่า ผู้ประกอบการต้องหาทางเลือกในการใช้เทคโนโลยีให้ได้มากขึ้น การลดการพึ่งพิงแรงงานไร้ฝีมือ คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ภาคธุรกิจไทยสามารถไปสู่ธุรกิจ 4.0 ซึ่งนั่นรวมถึงการพัฒนาทักษะของแรงงานควบคู่ไปด้วย

 

ผลงานชิ้นนี้ถูกผลิตภายใต้โครงการ UNDP Media Fellowship on Sustainable Development

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า