จีนคว้าโอกาสในขณะสหรัฐฯกำลังเล็งเป้าสงครามการค้ามาจ่อประชิดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับบทพี่ใหญ่กระชับความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคนี้
หนึ่งในวิธีสานความสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น หนีไม่พ้นนโยบายที่จีนใช้เอาใจชาติอาเซียนได้ผลมาหลายปีอย่าง ‘การทูตทุเรียน’ ให้ชาติอาเซียนได้เข้าถึงตลาดบริโภคทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มองเผินๆนี่อาจเป็นความเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ป้อนให้กับตลาดจีนมายาวนาน
แต่ถ้าสังเกตดีๆความเคลื่อนไหวนี้ยังมีอีกหลายมิติที่น่าสนใจเพราะไม่ใช่แค่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาอาเซียนกำลังวิตกเรื่องสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์
การเปิดตลาดรับซื้อทุเรียนเพิ่มขึ้นของจีนในอีกมุมหนึ่งก็คือการเพิ่มคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาดทุเรียนจีนของผู้ผลิตชาวไทยดังนั้นโจทย์ใหญ่สำหรับไทยตอนนี้คือเราจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร
การทูตทุเรียน กลยุทธ์สานสัมพันธ์อันทรงพลัง
ทุเรียนผลไม้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชาแห่งผลไม้’ ซึ่งกลายมาเป็นเครื่องมือทางการทูตที่รัฐบาลจีนใช้สร้างความสัมพันธ์กับชาติอาเซียนท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือดกับสหรัฐฯถูกพิสูจน์ให้เห็นแล้วเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผล
ด้วยปัจจัยที่ประจวบเหมาะกันพอดี เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้ยอดนิยมของผู้บริโภคชาวจีน จนทำให้จีนกลายเป็นตลาดทุเรียนที่ใหญ่ที่สุด ในขณะที่หลายในประเทศอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น ไทย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่อินโดนีเซีย ต่างก็เป็นประเทศที่เป็นแหล่งผลิตทุเรียนรายใหญ่
ที่ผ่านมา ทุเรียนที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีนมากที่สุดคือ ‘ทุเรียนไทย’ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นทุเรียนที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และมีความน่าเชื่อถือในเรื่องคุณภาพระดับพรีเมี่ยมทำให้ตลอดหลายปีมานี้ไทยกลายเป็นประเทศที่ส่งออกทุเรียนไปจีนรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าทุเรียนไทยจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวจีนแต่ความจริงที่ต้องไม่ลืมก็คือไม่ใช่แค่ไทยประเทศเดียวที่สามารถปลูกทุเรียนได้เพื่อนบ้านของเราในอาเซียนก็ล้วนแต่อยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียนเช่นเดียวกัน
และที่สำคัญกว่านั้น เมื่อทุเรียนถูกมองว่าเป็นเครื่องมือจีนที่จะใช้กระชับความสัมพันธ์กับชาติอาเซียน การทูตทุเรียนจึงเป็นกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้กับประเทศต่างๆ ผ่านการเปิดตลาดทุเรียนให้ประเทศเหล่านั้นได้เข้าถึงด้วย จนทำให้ตลาดส่งออกทุเรียนเริ่มมีการแข่งขันดุเดือดขึ้น
คู่แข่งในตลาดเพิ่ม ส่งออกทุเรียนไทยกระทบเต็มๆ
สถานการณ์การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นในตลาดทุเรียน ทำให้ไทยที่เป็นเจ้าครองตลาดทุเรียนมายาวนานได้รับผลกระทบ โดยเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ส่วนแบ่งในตลาดทุเรียนจีนของไทยลดลงจาก 68% มาเหลือแค่ 57%
ที่น่าสนใจกว่านั้นในขณะที่ส่วนแบ่งทุเรียนไทยในตลาดจีนลดลงแต่ปีที่แล้วกลับเป็นปีที่จีนมีการนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้นโดยชาติที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตนี้ก็คือเวียดนาม
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุเรียนไทย ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่า สาเหตุที่ทำให้ไทยถูกแย่งส่วนแบ่งในตลาดทุเรียนจีน ว่าเป็นเพราะ คุณภาพของทุเรียนไทยไม่สม่ำเสมอเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากมีความต้องการในตลาดมากขึ้น ทำให้เกษตรกรเจ้าของสวนมุ่งแต่ขยายพื้นที่เพาะปลูก แต่ไม่ได้คำนึงถึงการรักษาคุณภาพเท่าที่ควร ประกอบกับเมื่อปีที่แล้ว ไทยเผชิญกับสภาพอากาศแห้งแล้ง จึงทำให้ผลผลิตทุเรียนลดลง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาเรื่องตรวจพบการปนเปื้อนของสาร Basic Yellow 2 หรือ BY2 ซึ่งเป็นสารอันตรายที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขของจีนจึงจัดให้สารนี้เป็นสารที่กินไม่ได้ในเมื่อปี 2551
สารชนิดนี้ปกติจะถูกใช้อุตสาหกรรมการย้อมผ้าผลิตกระดาษย้อมหนังและผลิตสีทาบ้านแต่มีการนำสารชนิดนี้มาใช้ชุบลูกทุเรียนเพื่อให้มีสีสันสวยงามน่ารับประทานทำให้จีนปฏิเสธการนำเข้าทุเรียนจากไทยที่ตรวจพบสารดังกล่าวทั้งหมด
เพื่อนบ้านอาเซียน คู่แข่งตลาดทุเรียนไทย
ในขณะที่ไทยกำลังเผชิญปัญหาการส่งออกทุเรียนไปจีน เวียดนามกับมาเลเซียได้กลายมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในตลาดนี้ อย่างมาเลเซีย แม้จะเพิ่งได้รับอนุญาตให้ส่งออกทุเรียนไปจีนเมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว แต่ทุเรียนมาเลเซียในตลาดจีน ซึ่งถูกจัดอยู่ในเกรดพรีเมี่ยม มีราคาสูง กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
ส่วนเวียดนามได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของจีนเคียงข้างไทย และกำลังทำผลงานได้ดีขึ้นอย่างมาก สวนทางกับทุเรียนไทยที่เผชิญปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น ทุเรียนเวียดนามกลับกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีน
นอกจากสองประเทศที่กล่าวถึงมาแล้ว ฟิลิปปินส์ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้ไฟเขียวให้ส่งออกทุเรียนสดไปจีน และมียอดส่งออกเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปีที่แล้ว ฟิลิปปินส์มีมูลค่าการส่งออกทุเรียนไปจีนสูงถึง 32.5 ล้านดอลลาร์ โตขึ้นจากปี 2566 ถึง 144.4%
และคู่แข่งรายล่าสุดคืออินโดนีเซียที่เพิ่งจะมีการทำข้อตกลงออกทุเรียนแช่แข็งไปจีนเมื่อเร็วๆนี้เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ถึงความน่ากังวลเพราะทุเรียนที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปจากอินโดนีเซียคือทุเรียนหมอนทองซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศไทยและก่อนหน้านี้จะต้องส่งออกไปจีนผ่านทางประเทศไทย
การแข่งขันในตลาดส่งออกทุเรียนจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของรัฐบาลไทยในขณะที่สงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์กำลังเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกที