นโยบายการค้าสหรัฐฯ บนฐานแนวคิดที่เรียกว่า ‘Reciprocal Trade Act’ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ แผลงฤทธิ์ทั่วโลก ว่า หากประเทศไหนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯสูง สหรัฐฯจะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราเดียวกัน
หลังจากประเทศไทยเพิ่งเผชิญการเก็บภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tarif) กับสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้า เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ โดยในส่วนของไทยคำนวณออกมาแล้วมีอัตราภาษี 36%
ถามว่าเราเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อะไรสูงมาก คำตอบหลักๆ เลย หนึ่งในนั้น คือ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงยานพาหนะ
เท่าที่รู้จนถึงตอนนี้ หนึ่งในเรื่องที่ไทยจะเจรจากับสหรัฐ ปลัดกระทรวงพาณิชย์บอกว่า ไทยมีศักยภาพเป็นผู้แปรรูปอาหาร โดยเฉพาะแปรรูปสินค้าเกษตรและส่งออกไปทั่วโลก ดังนั้นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเราก็คือจะเจรจานำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯมากขึ้น เกษตรกรของสหรัฐฯเองก็เป็นฐานเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะ ‘ข้าวโพด’ กับ ‘ถั่วเหลือง’ ที่เราผลิตไม่พอจะเปิดนำเข้าจากสหรัฐฯมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ KKP Research เคยให้มุมมองไว้ถึงความเสี่ยงต่อสินค้าเกษตรของไทย คือ เนื้อ หมู ไก่ วัว เพราะไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากสหรัฐฯสูง และไทยก็ยังนำเข้าเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ ในสัดส่วนค่อนข้างน้อยกว่าด้วย
นอกจากนี้ไทยยังมีมาตรการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย (เช่น การห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง) ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าอาจเป็น Non-tariff barrier หรือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
[ ผลกระทบที่เห็นชัดๆ ที่จะเกิดกับไทย? ]
หากไทยถูกกดดันให้เปิดตลาดเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาเนื้อสัตว์นำเข้าต่ำลง โดยเฉพาะชิ้นส่วนบางประเภทอย่างน่องไก่ ที่สหรัฐฯ สามารถผลิตได้ต้นทุนต่ำ ส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศแข่งขันยากขึ้น
จนถึงตอนนี้ ถ้าดูความคืบหน้าล่าสุด รัฐบาลอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบของ ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ รวมทั้งเร่งพิจารณาส่งเสริมการขยายตลาดใหม่ทดแทนโดยมุ่งตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ตลาดฮาลาล และตลาดเกิดใหม่ และพิจารณา FTA ในตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพควบคู่กันไป ทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา และแอฟริกา
นอกจากนี้ ต้องจับตาการลดภาษีศุลกากรในบางสินค้า ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในข้อเสนอของ USTR ว่าไทยสามารถลดได้ในสินค้าตัวไหนและระดับไหน แต่ไม่ใช่การลดภาษีลงมาทั้งหมด
จากนี้สิ่งที่ไทยทำได้ เพื่อรับมือกับเรื่องนี้คือไทยต้องสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ผลิตไทย และการรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการภายใน เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าจากนี้ไทยจะต้องยอมเสียบางอย่าง เพื่อรักษาบางอย่างในระยะยาว ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่หลายคนกังวลก็คือสินค้าเกษตรนั่นเอง