ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานกลับมาเดือดพล่านอีกครั้ง หลังอินเดียเปิดฉากยิงขีปนาวุธเข้าไปในดินแดนปากีสถาน ลึกถึงแคว้นปัญจาบ ซึ่งนับป็นการโจมตีลึกเข้าไปดินแดนปากีสถานมากที่สุดตั้งแต่ปี 1971 เพื่อตอบโต้เหตุการณ์คนร้ายกราดยิงที่เมืองพาฮาลแกมในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเสียชีวิต 25 คน และชาวเนปาล 1 คน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพาฮาลแกมทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่เปราะบางอยู่แล้วขาดสะบั้นลงโดยอินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลังผู้กลุ่มก่อการร้ายที่ก่อเหตุครั้งนี้แม้ปากีสถานจะปฏิเสธแต่ในที่สุดอินเดียก็ตัดสินใจตอบโต้ด้วยการยิงถล่มในดินแดนปากีสถาน
แม้จะอินเดียจะอ้างว่ากำหนดเป้าหมายไปยังฐานที่มั่นของกลุ่มก่อการร้ายไม่ใช่พลเรือนแต่ก็ทำให้ปากีสถานโกรธจัดออกมาประณามทันทีว่าเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยพร้อมเปิดฉากตอบโต้กลับทันทีจนเกิดความกังวลว่าสถานการณ์อาจบานปลายจนเกินควบคุมเพราะแม้ว่าสองประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียใต้ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันจะกระทบกระทั่งกันมาตลอดแต่ครั้งนี้เริ่มมีสัญญาณว่าความตึงเครียดดุเดือดรุนแรงมากกว่าที่ผ่านๆมา
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีประเด็นสำคัญทำให้หลายฝ่ายต้องหันมาจับตาสถานการณ์ในเอเชียใต้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็เป็นประเทศที่มีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง โดยมีการคาดการณ์ว่า หัวรบนิวเคลียร์ที่ทั้งสองมีอยู่รวมกันแล้วน่าจะมากกว่า 300 หัวรบดังนั้นหากสถานการณ์บานปลายจนถึงขั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งงัดนิวเคลียร์ออกมาใช้ก็อาจหมายถึงหายนะที่ไม่มีใครอยากคาดเดา
โอกาสที่ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานระลอกล่าสุด จะบานปลายจนเป็นสงครามนิวเคลียร์ตามที่หลายคนกำลังกังวล มีมากน้อยขนาดไหน โพสต์นี้พาไปหาคำตอบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้
‘อินเดีย’ ตั้งใจแก้แค้นเด็ดขาด มุ่งเป้ากลุ่มก่อการร้าย
ด้วยความที่อินเดียตั้งใจจะล้างแค้นกลุ่มก่อการร้ายที่ก่อเหตุสังหารชาวฮินดูเสียชีวิตเมื่อ จึงเรียกปฏิบัติการนี้ว่า ‘ปฏิบัติการซินดูร์’ (Operation Sindoor) ซึ่งตั้งถามชื่อผงซินดูร์ หรือผงสีแดงเข้ม ที่ผู้หญิงฮินดูใช้ป้ายหน้าผากเพื่อแสดงสถานภาพว่าพวกเธอแต่งงานและมีสามีแล้ว โดยผงซินดูร์จะเช็ดออกเมื่อพวกเธอเป็นหม้าย
การใช้ชื่อผงซินดูร์มาเป็นชื่อปฏิบัตินี้จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แสดงความตั้งใจที่จะแก้แค้นให้กับหญิงม่ายชาวฮินดูที่ต้องสูญเสียสามีไปจากการกระทำของผู้ก่อการร้ายแค่ชื่อปฏิบัติการคงพอให้เข้าใจว่าสถานการณ์ในเวลาถูกปกคลุมด้วยความโกรธแค้นของชาวอินเดียมากขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้อินเดียยืนยันว่าการโจมตีมุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานของผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่มติดอาวุธ Lashkar-e-Taiba (LeT) และ Jaish-e-Mohammed (JeM) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานอยู่ในปากีสถานและมีประวัติการโจมตีอินเดียในอดีต ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังพลเรือน หรือฐานทัพโดยตรง
‘ปากีสถาน’ ยืนยันต้องปกป้องอธิปไตย พร้อมตอบโต้อินเดียอย่างสาสม
แม้อินเดียจะระบุว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปยังพลเรือนและฐานทัพของปากีสถาน แต่การโจมตีเข้าไปในดินแดนของปากีสถาน ทำให้ปากีสถานไม่พอใจอย่างมาก จนถึงกับออกมาประณามว่า นี่เป็นการรุกรานทางทหาร และ ‘จุดไฟสงคราม’ ให้ปะทุขึ้น พร้อมกับเรียกการกระทำของอินเดียว่าเป็น ‘การละเมิดอธิปไตย’ อย่างชัดเจน และเตือนว่าสถานการณ์อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเต็มรูปแบบ
สถานการณ์ยิ่งดุเดือดขึ้น หลังจากปากีสถานออกมาอ้างว่า ปฏิบัติการทางทหารของอินเดียทำให้พลเรือนเสียชีวิตหลายคน เมื่อมีการเปิดเผยออกมาแบบนี้ ทำให้ เชห์บาซ ชารีฟ นายกรัฐมนตรีปากีสถาน ออกมาแสดงจุดยืนแข็งกร้าวทันที โดยประกาศว่าจะ ‘ล้างแค้น’ ให้กับผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของอินเดียและเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าในระดับที่สูงขึ้น
โดยปากีสถานอ้างว่าสามารถทำลายโดรนที่ถูกยิงไปจากอินเดียได้แล้วหลายลำ เฉพาะแค่การโจมตีเมื่อคืนนี้ ระบบป้องกันภัยของปากีสถานยิงโดรนอินเดียร่วงไปแล้ว 25 ลำ
ความตึงเครียดอาจบานปลายเป็นสงครามนิวเคลียร์
ท่าทีที่แข็งกร้าวของทั้งอินเดียและปากีสถานทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า จะยิ่งยกระดับความตึงเครียดมากขึ้น จนนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ในที่สุด
สาเหตุที่มีความกังวลแบบนี้เป็นเพราะการปะทะกันระหว่างอินเดียกับปากีสถานระลอกใหม่ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าการปะทะกันที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต เหตุผลสำคัญเหตุผลแรก คือ อินเดียโจมตีเข้าไปลึกถึงแคว้นปัญจาบ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางทหารของปากีสถาน ทำให้ปากีสถานตอบโต้กลับอย่างดุเดือด
ผลที่ตามมาคือ ทั้งสองประเทศต่างโจมตีทางอากาศกันไปมา แม้อินเดียจะใช้กลยุทธ์ไม่ส่งกำลังบุกเข้าไปในปากีสถานโดยตรง แต่ใช้วิธีการยิงขีปนาวุธและโดรนข้ามไปจากฝั่งอินเดีย เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหตุการณ์ในปี 2019 ที่นักบินอินเดียถูกจับเป็นเชลย
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความตึงเครียดลดลงซ้ำร้ายกว่านั้นเป้าหมายการโจมตีซึ่งอินเดียอ้างว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้ายเป้าหมายดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นเป้าหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางศาสนาเช่นโรงเรียนสอนศาสนาหรือมัสยิดทำให้ถูกมองว่าจะยิ่งเป็นการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกชาตินิยมจนอาจจุดชนวนความขัดแย้งจากความแตกต่างทางศาสนาระหว่างทั้งสองชาติที่มีมาตั้งแต่อดีตให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
สหรัฐฯ ใส่เกียร์ว่าง เหมือนโลกที่ไร้ผู้ใหญ่คอยห้าม
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความกังวลว่า สถานการณ์จะรุนแรงขึ้น เพราะตอนนี้ ยังไม่มีชาติใดที่ถูกมองว่า จะสามารถเป็น ‘เบรก’ ที่ทรงพลังพอจะหยุดยั้งสองประเทศนี้ได้หากตัดสินใจเดินหน้าตอบโต้กันแบบไม่ถอย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ ซึ่งในอดีตเคยรับบทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานมาตลอด แต่ครั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับดูเหมือนจะมีท่าทีเฉยเมย แม้รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ จะติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินเดียและปากีสถานหลายครั้งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีสัญญาณว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังขยายบทบาทเพื่อประสานการไกล่เกลี่ยหรือบริหารวิกฤตอย่างจริงจัง
ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังคงแสดงท่าทีเฉยเมยอย่างชัดเจน โดยที่ผ่านมา เขาออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงว่า “น่าเสียดาย…หวังว่าจะจบเร็ว ๆ” และ “ผมรู้จักทั้งสองฝ่ายดี ถ้าผมช่วยอะไรได้ก็ยินดี”
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้จึงทำให้ นักวิเคราะห์บางคนให้ความเห็นว่า เป็นช่วงเวลาที่อันตรายมาก ยิ่งถ้าไม่มีสหรัฐฯ ซึ่งมีอิทธิพลมากพอ มารับบทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยที่ทรงพลังและเป็นกลาง ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งนี้ อาจต้องเป็นการเผชิญหน้ากันโดยลำพัง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต้องการแสดงชัยชนะในฝั่งของตัวเอง โอกาสที่สถานการณ์จะบานปลายจนควบคุมไม่ได้มีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ความตึงเครียด ยังไม่ถึงทางตัน
ถึงจะมีการวิเคราะห์แบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ในเวลานี้จะมองไม่เห็นทางออกอะไรเลย เพราะยังมีนักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า หากดูจากท่าทีของทั้งสองฝ่ายในเวลา ดูเหมือนว่า ยังอยู่ในช่วงที่หยั่งเชิงกันอยู่ แม้จะมีการยิงปะทะและโจมตีทางอากาศ แต่ยังไม่มีหลักฐานว่ามีการรุกล้ำพื้นที่กันอย่างสมบูรณ์แบบ หรือมีการโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของอินเดียที่แม้จะแข็งกร้าวแต่ดูเหมือนว่าอินเดียก็ยังคงระมัดระวังไม่ยิงใส่เป้าหมายทางทหารของปากีสถานโดยตรงและยังคงเน้นเป้าหมายไปยังกลุ่มติดอาวุธที่สำคัญกว่านั้นทั้งสองฝ่ายยังไม่มีท่าทีที่จะเริ่มการรุกรานเข้าไปถึงเมืองหลวงของฝ่ายตรงข้าม
เหตุผลเหล่านี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสถานการณ์ในเวลานี้ยังคงมีทางออก หากทั้งสองประเทศยังมีความยับยั้งชั่งใจ และคำนึงถึงผลกระทบระดับหายนะของสงครามนิวเคลียร์ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และชีวิตประชาชน