เมื่อ ‘ตะวันออกกลาง’ ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางแรก แต่คือหมากสำคัญบนกระดานจัดระเบียบโลกใหม่ทริปแรกของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 – ใครได้? ใครเสีย?
การเยือนตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นจุดสนใจในเวทีการเมืองโลก เมื่อเขาเลือก ‘ตะวันออกกลาง’ เป็นเวทีเปิดเกมยุทธศาสตร์แห่งแรกในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2
แม้หากนับตามลำดับจริง ทริปนี้จะไม่ใช่การเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของทรัมป์ เพราะเมื่อเดือนที่แล้ว เขาเพิ่งเยือนนครรัฐวาติกันเพื่อร่วมพิธีปลงพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
แต่การตัดสินใจเลือกตะวันออกกลางเป็นจุดหมายอย่างเป็นทางการ นับว่ามีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค ‘มหาอำนาจหลายขั้ว’ (Multipolar World) อย่างเต็มตัว หากเปรียบเป็นกระดานเกม นี่อาจคือการเดินหมากตัวแรก บนเวทีใหม่ของอำนาจโลก “หมากที่มีเดิมพันสูงเกินกว่าการเยือนธรรมดา”
ทำไมทรัมป์เลือก ‘ตะวันออกกลาง’ เป็นจุดเริ่มต้น?
ก่อนจะไปดูแต่ละหมากที่ถูกวางไว้อย่างแยบยล คงต้องย้อนมาที่คำถามสำคัญ: ทำไมถึงต้องเป็นตะวันออกกลาง? ทรัมป์กำลังมองเห็นอะไรในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนเช่นนี้?
คำตอบอาจลึกกว่าเพียงภาพการจับมือกับผู้นำประเทศ เพราะใต้เงาของพิธีการ คือเครือข่ายผลประโยชน์ พันธมิตรทางอำนาจ และเกมการจัดระเบียบโลกที่กำลังถูกออกแบบขึ้นใหม่อย่างเงียบเชียบ
การเลือกเยือนซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในช่วงต้นวาระ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นการส่งสัญญาณชัดถึงการปรับยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการหันไปเสริมสร้างพันธมิตรใหม่ในภูมิภาคที่มีความสำคัญทั้งในมิติเศรษฐกิจ ความมั่นคง และพลังงาน
ตะวันออกกลางคือแหล่งพลังงานสำคัญ และตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อสามทวีป อย่างยุโรป เอเชีย และแอฟริกา การเจาะเข้ามาเสริมอิทธิพลในภูมิภาคนี้จึงไม่ใช่แค่การเปิดเวทีใหม่ของสหรัฐฯ แต่คือการปักหมุดถาวรบนกระดานมหาอำนาจโลก และที่สำคัญกว่านั้น ทริปนี้อาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์แค่ ‘ผลประโยชน์ของประเทศ’ เพียงเท่านั้น
จุดตัดระหว่าง ‘การทูต’ กับ ‘ธุรกิจ’
สิ่งที่ทำให้ทริปตะวันออกกลางทริปนี้ถูกจับตาอย่างหนัก ไม่ใช่แค่เพราะทรัมป์ฉีกธรรมเนียมประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มักเริ่มต้นการเยือนต่างประเทศ ด้วยการเดินทางไปแคนาดา เม็กซิโก หรือยุโรป แต่สำหรับทรัมป์แล้ว สถานะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา อยู่ตรงเส้นบางๆ ที่แบ่งระหว่าง ‘ฐานะผู้นำประเทศ’ กับ ‘ฐานะนักธุรกิจระดับโลก’
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะก่อนการเยือนตะวันออกกลางจะเกิดขึ้น มีโครงการหลายโครงการภายใต้การบริหารของ Trump Organization ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเป็นธุรกิจของ ‘ตระกูลทรัมป์’ ผุดขึ้นในตะวันออกกลาง
ไม่ว่าจะเป็น โครงการอสังหาริมทรัพย์หรูในดูไบ (Trump International Hotel & Tower), สนามกอล์ฟระดับไฮเอนด์ในกาตาร์ และการร่วมทุนกับ Dar Global ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ใครกันแน่ ที่จะได้ประโยชน์จากทริปนี้?
ประเด็นนี้ มีนักวิจารณ์หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็น ที่น่าสนใจ เช่น บทวิเคราะห์ของ The Guardian และ Business Insider ซึ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า รูปแบบเหล่านี้คือ ‘พฤติกรรมซ้ำรอย’ จากวาระแรกของทรัมป์ ที่หลายฝ่ายมองว่าเขาใช้ตำแหน่งทางการเมืองเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจแก่ครอบครัว โดยเฉพาะในภูมิภาคที่รัฐกับทุนแทบจะเป็นสิ่งเดียวกันอย่างตะวันออกกลาง
‘อเมริกา’ ได้อะไรจากทริปนี้?
แต่จะพูดแค่ประโยชน์แอบแฝงที่เอื้อต่อธุรกิจส่วนตัวแค่ประเด็นเดียวคงไม่ได้เพราะในฐานะประธานาธิบดีผลประโยชน์ของประเทศยังคงต้องเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดสำหรับโดนัลด์ทรัมป์
สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วจากทริปนี้ คือ ข้อตกลงด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 600 พันล้านดอลลาร์ และดีลขายอาวุธมูลค่าถึง 142 พันล้านดอลลาร์ ที่ทรัมป์ลงนามกับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นการสร้างรายได้ แต่เท่ากับการต่อยอดอำนาจของสหรัฐฯ ผ่าน ‘การทูตเชิงอาวุธ’
ขณะเดียวกัน การประชุมสุดยอดการลงทุนสหรัฐฯ–ซาอุฯ ( Saudi-US Investment Forum) ยังกลายเป็นเวทีที่ทรัมป์พาบรรดาผู้นำธุรกิจระดับโลกไปเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็น เจนเซน หวง (Nvidia), อเล็กซ์ คาร์ป (Palantir) เจน เฟรเซอร์ (Citigroup) แลร์รี ฟิงก์ (BlackRock), เจนนี จอห์นสัน ( Franklin Templeton) ดารา คอสโรว์ชาฮี (Uber) ดีนา พาวเวล แมคคอร์มิก (BDT & MSD Partners), สตีฟ ชวาร์ซแมน (Blackstone) รวมถึงคนสำคัญที่ขาดไม่ได้คืออีลอนมัสก์มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกันที่เป็นสหายคนสนิทของทรัมป์
ส่วนที่กาตาร์และ UAE ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป ก็มีแนวโน้มว่าจะมีข้อตกลงสำคัญออกมาอีก โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ซึ่งหากเป็นจริง นี่อาจกลายเป็นหนึ่งในภารกิจการขยายเครือข่ายอิทธิพลครั้งใหญ่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้
‘โลก’ ได้ประโยชน์อะไรบ้างจากทริปตะวันออกกลางของ ‘ทรัมป์’
เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจและยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ไปแล้ว แต่อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเยือนตะวันออกกลางของทรัมป์ในครั้งนี้ ยังอาจสะท้อนแนวโน้มสำคัญของระเบียบโลกในอนาคต โดยเฉพาะในห้วงที่อำนาจโลกเริ่มกระจายออกจากการผูกขาดของมหาอำนาจเดี่ยว
เพราะการเกิดขึ้นมาของทริปนี้ แสดงให้เห็นว่าทรัมป์ยังคงมอง ‘ภูมิภาคอ่าว’ เป็นกุญแจสำคัญของการถ่วงสมดุลอำนาจระดับโลก และหนึ่งในหมากที่เริ่มขยับแล้ว ก็คือ การประกาศยุติมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย ด้วยหตุผลที่ทรัมป์ระบุว่าอยากเปิดโอกาสให้ประเทศนี้ ‘กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ หลังผ่านความสูญเสียจากสงครามมานับสิบปี
แม้ความเคลื่อนไหวนี้อาจดูเป็นเรื่องของมนุษยธรรม แต่การตัดสินใจนี้กลับสะท้อนบางอย่างลึกซึ้งกว่านั้น คือการที่ทรัมป์กำลังพยายามรีเซ็ตนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง โดยที่เขาตั้งใจว่าจะเป็นคนเขียนบทใหม่ของเกมนี้เอง เพื่อลดทอนบทบาทจีนและรัสเซียในภูมิภาค และผลักดันให้สหรัฐฯ กลับขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักที่สำคัญอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดทางให้ซีเรียโดยมีสหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูยังอาจเป็นกลยุทธ์ที่มุ่งลดอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาคนี้อย่างตรงไปตรงมาซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงการเดินทางของทรัมป์อาจไม่ใช่แค่การเยือนเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทูตแต่คือการรุกคืบอำนาจเข้าไปในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลกจุดนี้