SHARE

คัดลอกแล้ว

ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เราเริ่มเห็นข่าวและผลกระทบที่สหรัฐอเมริกากำลังจะเรียกคืนผลประโยชน์กลับสู่ประเทศตัวเองมากขึ้น เช่น เรียกเก็บขึ้นภาษี ดึงโรงงานกลับบ้าน สนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่น ควบคุมนักลงทุนต่างชาติ โดยนโยบายเหล่านี้ก็เรียกกันว่า America First พูดง่ายๆ ว่าทำอะไรก็ได้ให้ผลประโยชน์กลับสู่พลเมืองและประเทศมากที่สุดก่อน

ในทางเศรษฐกิจวิธีการแบบนี้เรียกกันว่าแนวคิด Economic Nationalism หรือแนวคิดทางเศรษฐกิจที่เน้นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตนเองเป็นหลัก ส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และควบคุมการลงทุนจากต่างชาติ แนวคิดนี้มักเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศเผชิญวิกฤต เศรษฐกิจไม่มั่นคง หรือเมื่อเกิดความตื่นตัวด้านอธิปไตยทางเศรษฐกิจ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ  ก็อิงจากช่วงนี้ที่อเมริกาเริ่มรุกหนักๆ เอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง หลายประเทศก็เริ่มออกมาตอบโต้ด้วยหันผลประโยชน์เข้าตัวเองเช่นกัน ซึ่งบางประเทศก็ยังไม่ได้หยิบแนวคิด Economic Nationalism มาใช้ และยอมเสียผลประโยชน์ให้อเมริกาไป แต่บางประเทศก็แบ่งรับแบ่งสู้หาตรงกลางร่วมกัน

[ ตัวอย่างประเทศที่หยิบแนวคิด Economic Nationalism ไปใช้ ]

‘สหรัฐอเมริกา’ ภายใต้การบริหารของ โดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐอเมริกาใช้นโยบาย America First ที่มุ่ง ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน ส่งเสริมการผลิตในประเทศ Made in USA จำกัดการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น AI, semiconductor และผลที่ตามมาคือการจุดชนวน “สงครามการค้า” Trade War กับจีน และทำให้บริษัทอเมริกันเริ่มย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ Reshoring 

.

 ‘จีน’ ใช้ยุทธศาสตร์วงจรคู่หรือที่เรียกกันว่า Dual Circulation Strategy ส่งเสริมนโยบาย “วงจรคู่” อย่าง วงจรภายในประเทศพึ่งพาการบริโภคและนวัตกรรมภายใน วงจรต่างประเทศ ยังคงเปิดกว้างต่อการค้า แต่ลดการพึ่งพาตะวันตก โดยที่รัฐบาลจีนสนับสนุนแบรนด์จีน เช่น Huawei, BYD ให้แข่งขันระดับโลก โดยใช้นโยบายภาษี การลงทุน และ R&D อย่างเข้มข้น

‘ฝรั่งเศส’ เป็นหนึ่งในประเทศที่ยึดแนวคิด เศรษฐกิจแบบชาตินิยมเชิงยุทธศาสตร์ มาโดยตลอด เพราะรัฐบาลมีนโยบาย “Reindustrialisation” หรือการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม เช่น อัดเงินสนับสนุนบริษัทฝรั่งเศสในเทคโนโลยีสะอาด สนับสนุนแบรนด์แฟชั่น อาหาร ไวน์ ให้เป็น Soft Power ของชาติ จำกัดการเข้าซื้อบริษัทฝรั่งเศสในกลุ่มเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน และล่าสุด ฝรั่งเศสยังเน้นการพึ่งพา พลังงานนิวเคลียร์ ของตัวเองมากกว่านำเข้าพลังงานจากต่างชาติ

‘เยอรมนี’ ใช้แนวคิด Strategische Autonomie หรืออธิปไตยเชิงยุทธศาสตร์ เป็นแนวนโยบาย อุดหนุนอุตสาหกรรม Semiconductor เพื่อลดการพึ่งพาจีนและสหรัฐฯ ส่งเสริมการผลิต แบตเตอรี่ EV และพลังงานสะอาดในประเทศ กระตุ้น Local Supply Chain และพยายามลดการพึ่งพา Global Supply Chain ที่เปราะบาง (บทเรียนจากสงครามยูเครน) แถมยังเยอรมนียังวางกฎ ควบคุมการเข้าซื้อกิจการในอุตสาหกรรมสำคัญ โดยเฉพาะจากทุนจีนตั้งแต่ปี 2018 ด้วย

‘อินเดีย’ ตั้งแต่ปี 2014 อินเดียผลักดันนโยบาย “Make in India” เพื่อ ดึงดูดการลงทุนต่างชาติให้มาตั้งโรงงานในอินเดีย สร้างงานภายในประเทศ ลดการพึ่งพานำเข้าสินค้าอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยิ่งในช่วงโควิด อินเดียยังจำกัดการส่งออกเวชภัณฑ์และวัคซีน เพื่อสงวนไว้ใช้ในประเทศก่อน

‘ญี่ปุ่น’ ใช้นโยบาย Resilience  ให้เงินอุดหนุนบริษัทญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตกลับจากจีน ส่งเสริมความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานของสินค้า “ยุทธศาสตร์” เช่น ยา ชิป และแบตเตอรี่ พัฒนาเทคโนโลยีในประเทศอย่าง AI, EV, Green Tech

สำหรับประเทศไทยที่ผ่านมา เราเน้นพึ่งพาการค้าและการลงทุนจากต่างชาติสูง แต่ในโลกที่เทรนด์ Economic Nationalism กำลังกลับมา การรอรับอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป ควรเสริมแนวทางเศรษฐกิจชาตินิยมเชิงรุกให้สมดุลระหว่าง ความเปิดกว้าง กับ การปกป้องจุดแข็งของชาติ เช่น ส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ ทำให้รายเล็กสามารถลืมตาอ้าปากได้ ส่งออก Soft Power อย่าง วัฒนธรรม อาหาร ดนตรี และอื่นๆ ให้ทุกคนได้รับรู้ และสนใจประเทศไทย 

[ มุมมองชาตินิยมทางเศรษฐกิจ เห็นด้วยหรือเห็นต่าง? ]

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวคิด Economic Nationalism ยังคงมีมุมมองเห็นแตกต่างกัน บ้างก็ว่า การใช้แนวคิดแบบนี้อาจ ‘ปิดโอกาส’ ของประเทศ

แต่จากกรณีศึกษาของแต่ละประเทศ ในยุคที่โลกาภิวัฒน์เริ่มเปลี่ยนรูปแบบ ทั้งจากสงครามการค้า ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจตกต่ำในหลายภูมิภาค และเทคโนโลยีที่ทันสมัยแหลมคมมากขึ้น

รูปแบบเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศเริ่มบีบแคบลง  แต่ละประเทศหันมาปกป้องผลประโยชน์ตัวเองมากขึ้น และเลือกดำเนินนโยบายให้ตัวเองยังคงรักษาประโยชน์ไว้ได้ อาทิ หันมาทำการค้ากับประเทศพันธมิตรมากขึ้น ย้ายฐานผลิตกลับประเทศ หรือย้ายไปตั้งในประเทศพันธมิตรแทน การให้ความสำคัญกับท้องถิ่นมากขึ้น และรูปแบบข้อตกลงการค้าที่เน้น ‘เฉพาะกลุ่ม’ มากขึ้น เมื่อโลกถูกแบ่งเป็น ‘หลายกลุ่ม’ และจับมือกันแต่ในกลุ่มตัวเองมากขึ้น

ดังนั้น ถ้าเราเลือกที่จะกำหนดตัวเอง (ประเทศ) ได้ถูกต้อง ก็จะทำให้เรารู้ว่าอะไรเป็น ‘ของสำคัญ’ ที่ต้องปกป้อง และอะไรเป็น ‘จุดแข็ง’ ที่ต้องเร่งต่อยอด เพราะโลกกำลังเปลี่ยนเกม ทุกประเทศต่างก็กำลังเอาตัวเองรอดกันทั้งนั้น..

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า