SHARE

คัดลอกแล้ว

ว่ากันว่าหันไปทางไหนในนอร์เวย์ คุณจะเจอแต่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ผู้เขียนไม่อาจยืนยันได้ เพราะยังไม่มีโอกาสเดินทางไปเยือนนอร์เวย์ ทว่า ตัวเลขอาจไม่โกหก สถิติที่ว่าในปี 2024 รถยนต์ใหม่ที่ขายในนอร์เวย์กว่า 88.9% คือรถยนต์ไฟฟ้า! นี่อาจช่วยยืนยันได้ว่า นอร์เวย์เป็นผู้นำโลกด้านการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ดูไม่เกินจริง

 

ย้อนไปปี 2010 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในนอร์เวย์อยู่ที่ ‘ไม่ถึง 1%’ ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดด้วยซ้ำ แต่ต่อมา ปี 2024 สถิติกลับพุ่งทะยานสูงถึงประมาณ 90% ทั้งนี้ มีรายงานว่าปี 2024 เป็นปีแรกที่มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งอยู่บนท้องถนนมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน 

กระทั่งถึงปี 2025 ที่แม้จะยังไม่สิ้นสุดลง ก็เห็นทิศทางแล้วว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ที่ประมาณ 93% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด สะท้อนว่า ประชาชนนอร์เวย์ ต่างหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยที่แนวโน้มนี้ไม่มีท่าทีว่าจะชะลอลง 

นอกจากนี้ ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์ไฟฟ้านอร์เวย์ (NEVA) บ่งชี้ว่า เมืองใหญ่บางแห่งมีรถไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนถนน ประมาณ 30% ขณะที่ในกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศ จะมีอัตราสูงถึง 40% เลยทีเดียว

เป็นไปได้ยังไง ในโลกที่หลายชาติยังคงถกเถียงกัน เรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน นอร์เวย์ยืนอยู่ในบทบาทประเทศผู้นำ ด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบขนส่งแบบ zero emission ทั้งอาจก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประเทศแรกของโลก ที่เลิกขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสิ้นเชิง อะไรคือเงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ชาวนอร์เวย์ประสบความสำเร็จ ในการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า แล้วประเทศไทยเรียนรู้อะไรจากความสำเร็จนี้ได้บ้าง เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่สังคมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 

[แฟร์ๆ ใครปล่อยมลพิษมาก จ่ายภาษีมาก]

ต้องเล่าก่อนว่า รัฐสภานอร์เวย์ กำหนดเป้าหมายระดับชาติไว้ว่า รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่าย ตั้งแต่ปี 2025 ‘จะต้องเป็นรถที่ไม่ปล่อยมลพิษ’ ซึ่งหมายรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า 

อย่างไรก็ดี นอร์เวย์ไม่ได้กำหนดเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงจูงใจทางภาษี และสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้วย อันที่จริงความพยายามสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าของนอร์เวย์ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น หากย้อนไปดูจะพบว่า รัฐบาลสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า มาตั้งแต่ปี 1990

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ในนอร์เวย์ มีวิธีคิดว่า รถยนต์ที่ไร้มลพิษ หรือ มลพิษต่ำ จะเป็นประโยชน์และคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ มากกว่ารถยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูง นำมาสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย ถึงเป็นที่มาของการตั้งภาษีสูง สำหรับรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูง และตั้งภาษีต่ำ สำหรับรถยนต์ไร้มลพิษหรือปล่อยมลพิษต่ำ แถมภาษีจากรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูง ยังถูกใช้เพื่อสนับสนุน ‘มาตรการจูงใจ’ ให้คนหันมาใช้รถยนต์ปล่อยมลพิษต่ำในคราวเดียวกัน

‘ใครปล่อยมลพิษกว่าก็ต้องจ่ายมากกว่า’ คือ ฐานคิดเริ่มต้นของนอร์เวย์ ในการกำหนดอัตราภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์ใหม่ที่ปล่อยมลพิษ โดยคำนวณจากน้ำหนักของรถ อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอัตราการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ถึงได้เห็นภาพรถยนต์สันดาปที่ปล่อยมลพิษเยอะ วางขายในราคาที่แพงมาก

ขณะเดียวกัน นอร์เวย์เคยยกเว้นทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 25% และภาษีซื้อรถยนต์ใหม่ให้แก่รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกกว่ามาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์อื่นที่ปล่อยมลพิษสูง ทว่าตั้งแต่ปี 2023 นอร์เวย์ปรับมายกเว้น VAT เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาไม่เกิน 500,000 โครนนอร์เวย์เท่านั้น

แต่การสร้างแรงจูงใจทางภาษีอาจยังไม่เพียงพอ ช่วงแรกพบปัญหา เช่น ระยะทางที่ยังวิ่งได้ไม่มาก สถานีชาร์จยังมีน้อย ผู้คนยังไม่เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากเท่าที่ตั้งเป้าไว้ นอร์เวย์จึงสร้างแรงจูงใจผ่านหลายนโยบาย อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ การให้ส่วนลดค่าที่จอดรถ การให้ส่วนรถค่าผ่านทาง ตลอดจนการให้สิทธิในการใช้ช่องทางพิเศษเลนส์รถบัส เป็นต้น 

แม้สิทธิพิเศษจะถูกปรับเปลี่ยนบ้างตามกาลเวลา แต่สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ปลอดมลพิษของนอร์เวย์ไม่ใช่เพียงเป้าหมายดาษดื่น แต่เป็นความฝันที่ถูกขับเคลื่อนให้เป็นจริงด้วยกลไกทางการเมือง

[ถึงตาไทย ทำอะไรได้บ้าง?]

ทราบกันดีว่า รถยนต์ไฟฟ้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ในแง่ที่ว่า ไม่ปล่อยควันเสีย ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกต่ำ และประหยัดพลังงาน

ทั้งนี้ แนวโน้มความต้องการใช้รถไฟฟ้าในไทยเอง ก็ดูจะเพิ่มขึ้น ตามสถิติที่สำรวจ เมื่อเดือนเมษายน 2024 พบว่า ไทยมียานยนต์ไฟฟ้า 167,344 คัน โดยส่วนใหญ่จดทะเบียนกระจุกตัวอยู่ที่ภาคกลาง 

นอกจากนี้ ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นด้วย จาก 20.52% ในปี 2022 สู่ 41.39% ในปี 2023 ขณะที่รถยนต์สันดาปมีสัดส่วนยอดขายที่ลดลง

หากไทยอยากก้าวเข้าสู่ประเทศแนวหน้าด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน หนึ่งในหมุดหมายสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่าน คือ นโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็มีการสนับสนุนอยู่ เช่น การประกาศลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือนโยบาย 30@30 ซึ่งเป็นแนวทางส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ ที่มุ่งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในไทย ภายในปี 2030  

การมีนโยบายคือเรื่องที่ดี ทว่า การจะเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าให้สำเร็จอย่างนอร์เวย์ อาจต้องอาศัยนโยบายระยะยาวที่มั่นคง และการบังคับใช้ที่เกิดจริง ด้วยการสร้างแรงจูงใจอื่นเพิ่มเติม ตลอดจนพัฒนาสถานีชาร์จรถไฟฟ้าสาธารณะให้ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า รัฐอาจต้องไม่ลืมดูแลภาคธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์สันดาปด้วย เพราะการเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบไม่มากก็น้อย การทิ้งใครไว้ข้างหลัง อาจไม่ใช่แนวทางที่ดีในระยะยาว

ย้อนไปที่นอร์เวย์ เคยมีบทสัมภาษณ์ชาวนอร์เวย์จากสื่อต่างประเทศ เล่าว่า โดยพื้นฐานคนนอร์เวย์ อาจไม่ได้มีจิตใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่สูงส่งกว่าใคร แต่สิ่งสำคัญคือโครงสร้างนโยบายที่เข้มแข็ง และการทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการขับรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงประเทศมาได้ไกลขนาดนี้

…ใครจะไปคิดล่ะว่านอร์เวย์ – ประเทศหนาวเย็น ประชากรไม่มาก บรรยากาศเต็มไปด้วยภูเขา จะกลายเป็นผู้นำระดับโลกด้านคมนาคมสะอาด 

 

อ้างอิง

elbil.no 

english.elpais.com(1)

cnb

bbc 

erc

english.elpais.com(2)

dw.com

undark.org

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า