คนวงการโฆษณาชี้ออกกอง 5 คน เป็นไปไม่ได้ ย้ำพร้อมระมัดระวังไม่ให้แพร่เชื้อ

วันที่ 11 พ.ค.63 รายการ Workpoint Today ทางเฟซบุ๊ก Workpoint News คุยกับ เอ็ม สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ผู้ช่วยผู้กำกับอิสระ และฟิล์ม ฐิติพล ปานเชื้อ เจ้าของบริษัทโฆษณา THEONL YFILM บุคลากรด้านธุรกิจโฆษณามากประสบการณ์ เกี่ยวกับมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ที่เตรียมผ่อนปรนให้กับกลุ่มธุรกิจห้าง, คลินิกเสริมความงาม และทีมถ่ายทำรายการโทรทัศน์ โฆษณา แต่มีข้อกำหนดว่าต้องทีมทีมงานจำนวนไม่เกิน 5 คน

ด้านนายสุรศักดิ์ วงษ์ไทยกล่าวถึงมาตรการดังกล่าวว่า ไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับกองโฆษณาที่มีแค่ 5 คน เอาง่ายๆ เลยสมมติในกองมีผู้กำกับ 1 คน นักแสดง 1-2 คน ช่างแต่งหน้า-ช่างผม 1 คน ที่เหลือก็ลูกค้า มากสุดงานชิ้นนี้คงจะถ่ายได้แค่ที่บ้าน ซึ่งเผลอๆ เจ้าของบ้านก็อาจจะไม่ให้ถ่ายเพราะกลัวโควิด-19 ก็ต้องไปถ่ายในสตูดิโอ ซึ่งก็จะต้องมีการทำฉากก็จะต้องมีทีมพร็อพ เพราะฉะนั้นยังไงก็มากกว่า 5 คนแน่นอน ไม่มีทางที่จะทำแค่ 5 คนได้ เพราะการถ่ายทำปกติจะมีทีมงานอย่างน้อย 50 คน

ต้องเข้าใจก่อนว่าคนที่ทำโฆษณานั้นไม่ได้รับเงินเป็นก้อนกันทุกคน มีบางส่วนที่รับเงินเป็นรายวันเช่นช่างไฟ หรือไฟกล้อง เพราะฉะนั้นถ้ากำหนดให้ถ่ายทำเพียง 5 คน คนเหล่านี้ก็จะขาดรายได้แน่นอน อยากผมได้รับเป็นก้อนต่อเรื่องก็ยังพออยู่ได้

ด้านนายฐิติพล ปานเชื้อ เผยว่า จากมาตรการดังกล่าวที่ออกมานั้นแทบจะไร้ความหมาย เพราะสำหรับกองถ่ายโดยเฉพาะโฆษณาคงเป็นไปได้อยากที่จะออกไปถ่ายทำด้วยบุลคลากรที่จำกัดขนาดนี้ ซึ่งทางสุรศักดิ์กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า เราควรจะตั้งคำถามกันว่า ถ้าเราจะเปิดจริงๆ เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ซึ่งเราจะตั้งโจทย์กันเลยว่าแล้วถ้าไม่ใช่แค่ 5 คน จะต้องใช้กี่คนที่จะทำหนังโฆษณากันได้ แล้วถ้ามีจำนวนเท่านี้แต่ละแผนกจะต้องป้องกันตัวเองกันอย่างไร

เมื่อถามถึงผลกระทบของคนในวงการที่ต้องหยุดการถ่ายทำมานานกว่า 2 เดือน นายฐิติพลเผยว่าได้รับผลกระทบหนักเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เราได้เซ็นสัญญากับลูกค้าจากประเทศจีนไว้แล้ว แต่พอเกิดการระบาดขึ้นทางลูกค้าก็ไม่สามารถมาได้ ส่วนทางพนักงานในออฟฟิศก็ตามๆ กันไป เพราะไม่มีงานทำ

ด้านสุรศักดิ์ วงษ์ไทย เสริมว่าในประเด็นนี้ต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำแบบอิสระ และกลุ่มที่ทำกับบริษัท คือในส่วนของบริษัท ตัวเจ้าของบริษัทจะได้รับผลกระทบอย่างหนักทั้งตัวเขาและเงินเดือนที่เขาต้องจ่ายลูกน้อง ในขณะที่ผมที่เป็นฟรีแลนซ์ที่ต้องรับเงินเป็นจ๊อบ จ๊อบละ 3 หมื่น, 4 หมื่น หรือ 5 หมื่น ก็ตามแต่ลักษณะงาน คือถ้าวันนี้ยังได้ทำงานอยู่ เงิน 3 หมื่นบาทผมก็ยังพออยู่ได้ในแง่การรับเป็นจ๊อบ แต่มันยังมีคนหลายแผนกในกองโฆษณาที่รับแบบรายวัน 800 บ้าง 600 บ้าง 3,000 บ้าง คือคนกลุ่มนี้เขาไม่มีรายได้แน่นอน เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้ไม่มีกินแน่นอนถ้าเขาไม่ได้มีอาชีพเสริมหรืออะไรนะ ถ้าทำด้านโปรดักชั่นอย่างเดียวก็ไม่มีช่องทำมาหากินเลยครับ

ในส่วนของแนวทางการทำงานของคนในวงการหลังการกลับมาเปิดอีกครั้ง ทางฟิล์ม ฐิติพลกล่าวว่า ก็อย่างที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศก่อนหน้านี้ถึงมาตรการการรักษาความสะอาดในกองถ่าย เช่นการมีรถห้องน้ำ การแยกโต๊ะอาหาร และการฆ่าเชื้อบริเวณสถานที่ถ่ายทำ ทั้งก่อนและหลัง ซึ่งทางเอ็ม สุรศักดิ์ คือในแต่ละแผนก เช่นทีมโปรดักชั่น เฮ้าส์ ของฟิล์ม เขาอาจจะมีคนในทีม 10 คน เขาก็จะต้องดูแลคนในส่วนของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้ากาก, แอลกอฮอล์ และอาจมีคนคอยคุ้มว่าทุก 30 นาที คุณที่ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล นี้คือสิ่งที่ทางโปรดักชั่น เฮ้าส์จะช่วยดูแลได้ในส่วนของฝ่ายกำกับ ฝ่ายลูกค้า

แต่อย่างในส่วนของช่างไฟหรือทีมกล้อง คือในส่วนนี้จะมีอุปกรณ์เยอะมาก เพราะงั้นทีมเหล่านี้ก็จะต้องดูแลตัวเองในส่วนของการทำความสะอาดอุปกรณ์ทั้งก่อนถ่ายทำและหลังถ่ายทำ เพราะเราไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้ของชิ้นนี้จะต้องไปออกกองไหนอีก เพราะฉะนั้นทุกภาคส่วนในกองถ่ายต้องดูแลในส่วนของตัวเอง และต้องมีวินัยมากขึ้น และอาจต้องจะมีคนคอยคุมวินัยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดมีการติดเชื้อเมื่อไหร่พวกเราจะแย่ มันก็จะต้องหยุดกันหมด

โดยทางเอ็ม สุรศักดิ์ ย้ำว่า เรื่องดังกล่าวจะต้องส่งให้ทาง ศบค.ทราบว่า คนในวงการเริ่มดูแลตัวเองกันแล้ว และช่วยกันหารือว่าจะทำอย่างไรให้อาชีพเหล่านี้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง คือถ้าทาง ศบค. หรือรัฐบาล รู้ว่าเรามีการเตรียมตัวที่ดีก็อาจจะมีสิทธิที่จะเปิดได้ เพราะว่าทุกแผนกก็ตั้งใจทำกันเพื่อที่จะให้อาชีพสายนี้กลับมาทำงานได้อีกครั้งหนึ่ง

ทางด้านฟิล์ม ฐิติพล กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าในแง่ที่เห็นแก่ส่วนรวม ผมก็คงต้องบอกว่าถ้ายังพอทนได้อยู่ก็อาจจะต้องอดทนอีกนิด เพื่อให้สถานการณืนี้มันผ่านพ้นไป จะได้ออกมาทำงานกันตามปกติ ส่วนด้านเอ็ม สุรศักดิ์ เผยว่า ผมอยากฝากว่าถ้าทางศบค. เห็นว่าทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อการนี้จริงๆ ผมก็อยากจะให้เปิดในวันที่ 17 นี้ ถ้าขอให้มีคนในกองมากกว่านี้ จะ 15 คน 20 คน 30 คนก็แล้วแต่ คือผมเข้าใจว่าพวกเราต้องปรับตัวแต่ 5 คนเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ซึ่งตรงนี้ก็อยากให้ภาครัฐช่วยดูให้นิดหนึ่งครับ