บางคนไม่กล้าลงทุนสักที เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเลือกหุ้นยังไง เลือกหุ้นไม่เก่ง กลัวเลือกผิด แต่ปัจจุบันทุกอย่างเริ่มง่ายขึ้นเพราะมี AI มีค่อยช่วยเหลือและช่วยคัดหุ้น ‘ดีราคาถูก’ เข้าพอร์ตเราได้ ทำให้นักลงทุนมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
‘ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด เล่าว่า ปัญหาหลักของนักลงทุนส่วนใหญ่คือการเลือกลงทุนในประเทศที่กำลังเติบโต มีอนาคตที่ดีในระยะยาว แต่ช่วงเวลาที่ลงทุนอาจเป็นช่วงที่ตลาดแพงมากหรือเริ่มเป็นขาลงตามวัฏจักร จึงประสบปัญหาพอร์ตติดลบค่อนข้างนานและไม่รู้ว่าควรจะย้ายไปลงประเทศอื่นตอนไหนดี
ในฐานะฟินเทคที่วิเคราะห์ข้อมูลตลาดหุ้น 29 ประเทศทั่วโลก ในระยะเวลากว่า 12 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาอัลกอริทึม และนำ AI เข้ามาใช้ช่วยคัดเลือก ‘หุ้นดีราคาถูก’ ปัจจุบันรูปแบบการลงทุนของ ‘จิตตะ เวลธ์’ มีทั้งหมด 4 พอร์ตลงทุนหลักๆ ได้แก่
[ 4 ธีมลงทุนด้วย AI ]
1.Global ETF : ลงทุนใน ETF ทั่วโลก กระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้นและตราสารหนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เงินลงทุนขั้นต่ำ 100,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนใน ETF ระดับโลก
2.Thematic Investing : ลงทุนในธีมธุรกิจแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยีและพลังงานสะอาด โดยใช้ ETF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและประสิทธิภาพสูง เงินลงทุนขั้นต่ำ 100,000 บาท เน้นลงทุนในธีมธุรกิจแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
3.Jitta Ranking : ลงทุนในหุ้นคุณค่าที่ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น หุ้นในไทย สหรัฐฯ และเวียดนาม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูง แต่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง เงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นคุณค่าตามกลยุทธ์ Value Investing
4.Jitta Ranking Alpha : เป็นพอร์ตใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว เน้นการกระจายความเสี่ยงลงทุน 20 หุ้น ตามการจัดอันดับของ Jitta Ranking ประเทศนั้นๆ ในสัดส่วนเท่าๆ กัน (Equal Weight) เงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000,000 บาท เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการบริหารจัดการด้วยตนเอง แต่ต้องการลงทุนในหุ้นรายตัว เพื่อผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี (Benchmark) ในระยะยาว
ทั้งนี้ Jitta Ranking Alpha ถูกพัฒนาต่อยอดแผนการลงทุนมาจาก Jitta Ranking ให้เก่งขึ้นด้วยอัลกอริทึมที่วิเคราะห์ประเทศที่ ‘น่าลงทุนที่สุด’ ในแต่ละปี ให้สามารถลงทุนใน ‘ตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม’ และ ‘หุ้นดีราคาถูก’ ได้พร้อมๆ กัน ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้นักลงทุนได้ดีกว่า
การใช้ AI ในการลงทุนสามารถช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญหรือเวลาในการจัดการพอร์ต AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อช่วยคัดเลือกหุ้นและจัดพอร์ตที่เหมาะสมตามเป้าหมายของนักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[ ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ]
สำหรับภาพรวมการลงทุนในปีหน้า ‘จิตตะ เวลธ์’ สรุปปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2568 ดังนี้
‘โดนัลด์ ทรัมป์’ รอขึ้นเป็นประธานาธิบดี กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมหลายประเทศ โดยทรัมป์มีนโยบายต่างๆ ที่กีดกันการค้าและเน้นผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทในสหรัฐฯ จึงทำให้อาจกระทบประเทศอื่นๆ ได้
การควบคุมเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในระยะยาว ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะสามารถลดเงินเฟ้อภายในประเทศได้ แต่จากที่สหรัฐฯ กำลังจะได้ประธานาธิบดีคนใหม่อาจมีแนวโน้มที่เงินเฟ้ออาจพุ่งสูงขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้าและการขึ้นภาษีการนำเข้าของสำหรับประเทศอื่นๆ
ด้านญี่ปุ่นอาจขึ้นดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2568 สวนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายตลาดโลก ญี่ปุ่นยังต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากที่จะต้องควบคุมเงินเฟ้อภายในประเทศ
ซึ่งนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นนี้จะส่งผลให้เงินเยนที่อยู่ที่ระดับ 150 – 160 เยนต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีกซึ่งดีต่อการนำเข้าของญี่ปุ่นและจะชะลอในส่วนของการปรับขึ้นราคาสินค้าต่างๆภายในประเทศเพื่อไม่ให้เงินเฟ้อปรับขึ้นเร็วเกินไป
ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ที่พยายามพยุงราคาบ้านใหม่ไม่ให้ปรับลดลงไปมากกว่าเดิม ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2567 ยังมีแนวโน้มการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาจะชะลอตัวในอัตราที่ช้าลงในปี 2568 และเริ่มทรงตัวและกลับเข้าสู่ขาขึ้นได้ในปี 2569
ขณะที่ไทย มีการคาดการณ์เติบโต GDP โดยรวมของไทยอยู่ที่ 2.7% ในปีนี้ และ 2.9% ในปี 2568 และเงินเฟ้อปัจจุบันปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 0.5% และจะกลับเข้าสู่กรอบที่ BOT ได้ตั้งไว้ระหว่าง 1-3% ในช่วงปี 2568
โดยการเติบโต GDP ของไทยปีหน้าคาดการณ์ว่าใกล้ระดับ 3% จากปัจจัยหลักของนักท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวจากช่วง 2566 ซึ่งจะมีโอกาสทะลุ 40 ล้านคนในปีหน้า