ทอ. จัดอากาศยานบินรับ-ส่ง สารคัดหลั่งของกลุ่มเสี่ยงในภูเก็ต ส่งตรวจโควิด กทม.

กองทัพอากาศ จัดอากาศยานบินรับ-ส่ง ตัวอย่างสารคัดหลั่งของกลุ่มเสี่ยง จ.ภูเก็ต เพื่อนำมาตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่กรุงเทพฯ หลังภูเก็ตเร่งค้นหากลุ่มเสี่ยงเก็บสารคัดหลั่งตรวจหาเชื้อ โดยสามารถตรวจกลุ่มเสี่ยงได้วันละ 500 คน

เมื่อวันที่ 8 เม.ย.63 กองทัพอากาศ จัดเครื่องบินตรวจการณ์และลำเลียงแบบที่ 20 (บ.ตล.20) หรือ P-180 สนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ในการบินรับ-ส่งตัวอย่างสารคัดหลั่งโพรงจมูกของบุคคลกลุ่มเสี่ยงในตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เพื่อนำมาตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ ห้องปฏิบัติการในกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ พื้นที่จังหวัดภูเก็ตมีแนวโน้มพบผู้ป่วย COVID-19 สูงขึ้นเรื่อยๆ และทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงของตำบลป่าตอง ทางสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ได้เร่งค้นหาผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์จากบริษัทเอกชน ในการเก็บสารคัดหลั่งโพรงจมูกเพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ COVID-19 ได้วันละประมาณ 500 คน หลังจากนั้นต้องนำตัวอย่างสารคัดหลั่งดังกล่าว ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการในกรุงเทพมหานคร โดยจะทราบผลการตรวจในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในขณะนี้ที่ทำให้การคัดกรองเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่จะหยุดการแพร่ระบาดของโรค

อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติดังกล่าวกำลังประสบปัญหาจากการประกาศปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ทำให้มีข้อขัดข้องในการนำส่งตัวอย่างสารคัดหลั่งของกลุ่มเสี่ยงไปยังห้องปฏิบัติการ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตจึงได้ประสานไปยังศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) เพื่อขอรับการสนับสนุนอากาศยานจากกองทัพอากาศ ในการบินรับ-ส่งตัวอย่างสารคัดหลั่งดังกล่าว

ทั้งนี้ กองทัพอากาศพร้อมให้การสนับสนุนอากาศยานในการช่วยเหลือประชาชนและการดำเนินการเพื่อต่อสู้กับไวรัส COVID-19

ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดภูเก็ต รายงานว่า จากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. – 7 เม.ย.63 จังหวัดภูเก็ต มีผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด-19 แล้วจำนวน 140 ราย โดยผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้าน 42 ราย จำหน่าย 1 ราย  (ชาวฮังการีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจราจรแต่ตรวจพบเชื้อโควิด – 19 ) กำลังรักษาพยาบาลอยู่ 97 ราย ในจำนวนนี้ อาการรุนแรง 3 ราย ที่เหลืออาการอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งนี้มีผู้มีอาการเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสะสมทั้งหมด  1,846 ราย (รายใหม่ 90 ราย) โดยยังคงรักษาพยาบาล 183  ราย ในจำนวนนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 86 ราย กลับบ้านแล้ว 1,663 ราย