ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ในอิตาลีพุ่งเป็น 11 ราย

วันที่ 26 ก.พ.63 สื่อต่างประเทศรายงานว่า นายอันเจโล บอร์เรลลี (Angelo Borrelli) หัวหน้าหน่วยงานปกป้องพลเรือน (Civil Protection Department) และกรรมาธิการวิสามัญของเหตุฉุกเฉินเชื้อไวรัสโควิด-19 กล่าวในงานแถลงว่า เมื่อวานนี้ทางมีรายงานว่า พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 รายในแคว้นลอมบาร์ดี ทางตอนเหนือของอิตาลี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทั่วประเทศแล้ว 11 ราย และมีผู้ติดเชื้อแล้ว 323 ราย โดยผู้เสียชีวิตล่าสุด 3 รายเป็นชายวัย 84 ปี 91 ปี และหญิงวัย 83 ปี

ด้านนายจูลิโอ กัลเลรา (Giulio Gallera) ที่ปรึกษาด้านสวัสดิการของแคว้นลอมบาร์ดีเผยว่า ต่อจากนี้ไปผลตรวจผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตจะต้องได้รับการยืนยันจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติอิตาลี (ISS) เสียก่อน และ “เมื่อสถาบันฯ ยืนยันว่า (ผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิต) มีความเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโควิด-19 จริง เราจึงจะนับรวม และเผยแพร่ตัวเลขสถิติ”

ล่าสุดทางนายโรแบร์โต สเปรานซา (Roberto Speranza) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอิตาลีได้จัดการประชุมกับรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของออสเตรีย, โครเอเชีย, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สโลวีเนีย, สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึง น.ส.สเตลลา คีเรียคิเดส (Stella Kyriakides) กรรมาธิการด้านสุขภาพและความปลอดภัยในอาหารของยุโรป โดยสเปรานซากล่าวภายในงานแถลงข่าวว่าทุกฝ่ายตกลงจะไม่ปิดชายแดน และจะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาด “การปิดชายแดนเป็นมาตรการที่ผิดพลาดและไม่เหมาะสม ไวรัสไม่รู้จักพรมแดน เราจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันเพราะไม่มีประเทศใดสามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง นั่นเป็นความจริงที่ชัดเจน”

ด้านสมาคมเกษตรกรโคล์ดิเรตตี (Coldiretti farmers’ association) เผยแพร่แถลงการณ์ แจ้งเตือนเกี่ยวกับฟาร์มราว 500 แห่งที่ตั้งอยู่ในเขตสีแดงภายในแคว้นลอมบาร์ดีและแคว้นเวเนโต ซึ่งเสี่ยงเผชิญ “ภาวะชะงักตัว” เนื่องจากทางการสั่งห้ามมิให้เกษตรกรรีดนมวัวและทำงานในพื้นที่การเกษตร โดยแคว้นทั้งสองถือเป็นพื้นที่ที่มีเศรษฐกิจภาคการเกษตรอันดับต้นๆ ทั้งการเลี้ยงสัตว์, ไร่องุ่น, การท่องเที่ยวเชิงเกษตร, ผลิตภัณฑ์ไวน์องุ่น แถลงการณ์ระบุว่า “สถานการณ์ยากลำบากนี้เกิดขึ้นทั่วพื้นที่โพ วัลเลย์ (Po Valley) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารจากการเกษตรถึง 1 ใน 3 ของอิตาลี โดยพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ฉุกเฉินเชื้อไวรัสโควิด-19”