Ant Group บริษัทฟินเทคของแจ็ค หม่า อาจระดมทุนทะบุ 1 ล้านล้านบาท จากการเปิดขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ตลาดหุ้นในนครเซี่ยงไฮ้และฮ่องกง
Ant Group บริษัทด้านเทคโนโลยีการเงิน (ฟินเทค) ของนายแจ็ค หม่า มหาเศรษฐีชาวจีน ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา อาจมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์พุ่งไปแตะ 34,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.07 ล้านล้านบาท ในการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) หลังมีกำหนดเริ่มเปิดการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่นครเซี่ยงไฮ้ในสัปดาห์นี้ และจะไปเปิดการขายหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกงในวันที่ 5 พฤศจิกายน
โดยมูลค่าดังกล่าวอาจถือเป็นการขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้าบริษัทอารามโก (Aramco) บริษัทน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย ที่สร้างสถิติเปิดขายหุ้นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยมีมูลค่า 29,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 918,000 ล้านบาท
การเปิดขายหุ้นของ Ant Group มีบริษัทด้านการลงทุนรายใหญ่จำนวนมากให้ความสนใจ เช่น เทมาเส็ก โฮลดิ้ง (Temasek Holding) ของสิงคโปร์ รวมทั้งหน่วยการลงทุนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งหากมีผู้สนใจจำนวนมาก Ant Group อาจพิจารณาให้ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จัดสรรหุ้นให้ผู้ลงทุนมากกว่าที่บริษัทเสนอขาย (Green Shoe) เพิ่มเติมอีกราว 160,000 ล้านบาทด้วย
โดยหุ้นที่ Ant Group นำมาแบ่งขายในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และฮ่องกง คิดเป็น 11% ของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าของบริษัท Ant Group อยู่ที่ 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 10 ล้านล้านบาท แซงหน้าบริษัทด้านการเงินรายใหญ่ของโลกอย่าง JPMorgan และ Bank of America เช่นเดียวกับมูลค่าทรัพย์สินของนายแจ็ค หม่า ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านล้านบาท ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ
สำหรับ Ant Group เป็นบริษัทด้านการเงิน ผู้ให้บริการระบบจ่ายเงินอาลีเพย์ (Alipay) ซึ่งมีผู้ใช้บริการในจีนกว่า 1 พันล้านคน ขณะเดียวกันยังทำธุรกิจด้านการให้เงินกู้ ประกันภัยและการจัดการทรัพย์สินด้วย
เว็บไซต์บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานอ้างการกล่าวในที่ประชุมของนายแจ็ค หม่า เมื่อวันเสาร์ (24 ต.ค.) ว่า การเข้าตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และฮ่องกงของ Ant Group ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของมนุษยชาติที่มีการซื้อขายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดนอกนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ
นายแจ็ค หม่า ยังยอมรับว่า การขายหุ้นมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ทำให้ตัวเขาเองไม่กล้าคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 หรือ 5 ปีข้างหน้าด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์จำนวนมากที่มองว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์จีนของ Ant Group ทำให้ตลาดหุ้นในประเทศจีน รวมทั้งในเอเชียกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ที่ผ่านมามีบริษัทจีนหลายแห่งทยอยเข้าไประดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ในประเทศจีน โดยส่วนหนึ่งเป็นความพยายามของรัฐบาลจีนที่ร้องขอให้บริษัทเอกชนสัญชาติจีนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในประเทศมากขึ้น หลังเผชิญสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งความสนใจซื้อหุ้น Ant Group ยังสะท้อนถึงกระแสธุรกิจฟินเทคที่กำลังเติบโตอย่างมาก จนเป็นโอกาสให้เอเชียทั้งในจีน รวมถึงประเทศอื่นเช่นอินเดีย ในการพัฒนาหวังเป็นฐานของธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินในระดับโลก