ผลการศึกษาล่าสุดในอังกฤษยืนยัน ใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ได้ และสามารถเว้นระยะห่างระหว่างเข็มที่ 1 และ 2 ได้สูงสุดถึง 10 เดือนครึ่ง
วันที่ 28 มิ.ย. 2564 เว็บไซต์เดอะการ์เดียน (The Guardian) รายงานผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ที่เผยว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) เป็นเข็มที่ 3 หลังได้รับเข็มที่ 2 มาแล้วนานกว่า 6 เดือน ทำให้ร่างกายมีแอนติบอดีเพิ่มขึ้น และช่วยให้ที-เซลล์มีความสามารถใช้การต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้น ซึ่งรวมไปถึงเชื้อกลายพันธุ์ด้วย
ผลการทดสอบเหล่านี้เป็นการศึกษาจากอาสาสมัคร 90 รายในสหราชอาณาจักร ที่เป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในช่วงของการทดสอบทางคลินิกเมื่อปีก่อน โดยอาสาสมัครกลุ่มนี้ได้รับการฉีดวัคซีนโดสที่ 3 ไปเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระยะเวลาราวๆ 30 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับวัคซีนโดสที่ 2
อย่างไรก็ตาม เซอร์ แอนดรูว์ พอลลาร์ด หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 เป็นเรื่องที่จำเป็นหรือไม่ เนื่องจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็มนั้นสามารถช่วยลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิต จากเชื้อกลายพันธุ์ชนิดสายพันธุ์อัลฟาและเดลตาได้ดีอยู่แล้ว
การศึกษาครั้งนี้ยังได้ข้อสรุปว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จะยังมีภูมิคุ้มกันอยู่อย่างน้อย 1 ปีหลังฉีดโดสแรก และยังสามารถเว้นระยะระหว่างเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ได้นานถึง 45 สัปดาห์
ตามรายงานระบุว่า การเว้นระยะ 45 สัปดาห์ ซึ่งเท่ากับ 10 เดือนครึ่ง ทำให้การตอบสนองของแอนติบอดีสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภายหลังจากการรับวัคซีนโดสที่ 2 แล้ว รวมถึงสามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ทั้งสายพันธุ์อัลฟา เบตา และเดลตา ได้ดีขึ้น
ปัจจุบัน มีข้อแนะนำให้เว้นระยะในการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 4-12 สัปดาห์ เนื่องจากงานวิจัยก่อนหน้านี้ยืนยันเพียงแค่ว่า วัคซีนโดสแรกช่วยปกป้องอาการป่วยจากโรคโควิด-19 ได้อย่างน้อย 3 เดือน การที่มีงานวิจัยชิ้นนี้ออกมา จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า การได้รับวัคซีนโดสต่อไปล่าช้า จะไม่ส่งผลต่อระดับการป้องกันที่ได้รับหลังฉีดวัคซีนโดส 2