‘เราขายทองเยอะมาก แต่ไม่เคยเห็นใครใส่ทองบนท้องถนนเลย ตกลงทองอยู่ที่ไหนกันแน่ อยู่ในเก๊ะ อยู่ในสโตเรจ อยู่ในถุงเก็บมากกว่า แต่เราจะภูมิใจมาก ถ้าสักวันเราเห็นทองเหล่านี้ เดินไปแล้วเจอคนใส่จริงๆ ฟิตกับไลฟ์สไลต์ กับเสื้อผ้า’
‘บุญเลิศ สิริภัทรวณิช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด หรือร้านทองออสสิริส (AUSIRIS) พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในวันที่ให้สัมภาษณ์กับ TODAY Bizview
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับร้านทอง ‘ออสสิริส’ ถือเป็นหนึ่งในผู้ค้ารายใหญ่ในประเทศ เดิมเป็นผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่ง หรือ Wholesale ก่อนจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อขายผู้บริโภคเองโดยตรงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
‘แต่ก่อนทองไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ เราก็แค่ซัพพลายให้กับผู้ผลิตและโรงงาน เราก็ไม่เคยนึกเลยว่า ทองจะลงไปถึงรายย่อยมากขนาดนี้ ตอนนี้เล็กสุด (น้ำหนัก) ลงไปที่ 0.3 กรัมแล้ว’
ในช่วงแรกออสสิริสเริ่มให้บริการลูกค้ารายย่อยด้วยบริการลงทุนทอง ซึ่งเติบโตเร็วมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนตอนนี้ บริษัทฯ หันมาเน้นเรื่องการสร้างความมั่งคั่ง (Wealth) ให้กับนักลงทุนมากขึ้น
โดยเฉพาะการออมทอง โดยออสสิริสถือเป็นเจ้าแรกที่เปิดให้ออมทองผ่านออนไลน์ ด้วยการถัวราคาทองดอลลาร์ ออมขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 1,000 บาทต่อเดือน หรือตกวันละ 50 บาทต่อวันทำการเท่านั้น
[ คนส่วนใหญ่ซื้อทองเพื่อลงทุน ]
ซีอีโอของออสสิริสแชร์ว่า ปัจจุบันตลาดนำเข้าส่งออกทองคำ เป็นเรื่องการลงทุน (Investment) ค่อนข้างเยอะ ประมาณ 60-70% เพราะนักลงทุนอยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่าได้สินค้าไปครอบครอง
ถึงอย่างนั้น ถ้ามีโอกาสลงทุนและได้รับสินค้าด้วยก็ดี เพราะทองคำเป็นสินค้าที่มูลค่าไม่มีวันตก สามารถส่งต่อให้กับลูกหลานได้ในอนาคต
เดิมบริษัทฯ สนใจนำเข้าทองคำมาเพื่อผลิตเท่านั้น แต่ตอนนี้เป็นการนำเข้าเพื่อขายให้นักลงทุน ซึ่งทองก้อนเดิมก็เปลี่ยนมือไปมาในตลาด เมื่อราคาลงนักลงทุนก็ซื้อ เมื่อราคาขึ้นนักลงทุนก็ขาย
ช่วงนี้ราคาทองปรับขึ้นสูง นักลงทุนก็จะนำทองมาขายกันมากขึ้น ร้านทองก็ต้องส่งออกทองคำเพื่อนำเงินมาจ่ายคืนให้กับนักลงทุน ในทางกลับกัน ถ้าราคาทองปรับลง นักลงทุนต้องการซื้อทองมากขึ้น ร้านทองก็ต้องนำเข้าทองมาขายนักลงทุน
‘ทองบางส่วนไม่ทันได้แปรรูปไปเป็นโปรดักต์ เป็นเพียงสื่อกลางการแลกเปลี่ยนมูลค่า (Medium of Exchange) เท่านั้น แต่ร้านทองก็ยังจำเป็นต้องนำเข้าทองคำเข้ามาตามกฎหมายที่ยังห้ามเทรดทองบนกระดาษ ยกเว้นที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)’
[ ธุรกิจร้านทองก็ถูกดิสรัป ]
แม้การซื้อขายทองคำในระดับ Wholesale จะยังเป็นรายได้หลักของออสสิริส แต่บริษัทฯ ก็ไม่หยุดมองหาโอกาส อยากขยายตลาดไปหาลูกค้ารายย่อยด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยสภาพตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งพฤติกรรมลูกค้าในโลกของการลงทุน และพฤติกรรมลูกค้าในโลกของการสวมใส่ ซึ่งทั้ง 2 โลกในตอนนี้ไม่สามารถอยู่แยกกันได้อีกต่อไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว ต้องเชื่อมโลกทั้ง 2 ใบเข้าด้วยกัน
‘สิ่งหนึ่งที่เราออฟเฟอร์ให้กับตลาดคือ คุณไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหนก็สามารถส่งผ่านกันได้ง่ายๆ’
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวันนี้ลูกค้ามาซื้อทองรูปพรรณที่ออสสิริส บริษัทฯ ก็มีโครงสร้างเปลี่ยนเป็นทองคำแท่งรองรับ หรือถ้าออมทอง ก็สามารถแลกเป็นทองแท่งและทองรูปพรรณได้ง่ายๆ ไม่ต้องมาที่ร้านก็ได้ เพราะมีแพลตฟอร์มออนไลน์และขนส่งรองรับ
[ เปิดแฟลกชิปสโตร์กลางเมือง ]
เมื่อเร็วๆ นี้ ออสสิริสเพิ่งเปิดตัวแฟลกชิป สโตร์ (Flagship Store) ในห้างสรรพสินค้าสีลมคอมเพล็กซ์ โดยตั้งใจให้เป็น One-stop Service ร้อยเรียงบริการต่างๆ ให้อยู่ในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการออมทอง การลงทุนในทอง การซื้อทองรูปพรรณ ฯลฯ
ความตั้งใจของออสสิริส คือ การดูแลลูกค้าแบบ ‘ตลอดชีวิต’ (Life Time) ตั้งแต่เป็นครอบครัว Gen X, Gen Y หรือ Gen Z โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เริ่มตั้งแต่การสร้างความเข้าใจและการเข้าถึงทองคำผ่านช่องทางดิจิทัลและโซเชียลมีเดียต่างๆ
นอกจากนี้ เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ ออสสิริสเปิดตัวแบรนด์ใหม่ที่มีการดีไซน์ทองรูปพรรณที่แตกต่างจากแบรนด์เดิม เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแต่ละเจนมากขึ้น
โดยแบรนด์ที่ว่าคือ ‘ไอริส โกลด์’ (IRIS GOLD) ซึ่งมี ‘ฐิติรัตน์ สิริภัทรวณิช’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายแบรนด์ (CBO) กลุ่มบริษัท ออสสิริส จำกัด ลูกสาวเป็นผู้ดูแล
[ ปั้นแบรนด์ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ]
‘ฟ้าจบแฟชั่นดีไซน์มา ตอนแรกเราก็เข้ามาช่วยปั้นด้วยความเป็นแฟชั่นจ๋าๆ เลย แต่พอเราต้องมาเรียนรู้จริ’ว่าคนที่ซื้อทองรูปพรรณเขาใส่อะไร เราจะเอาแฟชั่นไปยัดตั้งแต่แรก เหมือนเทรนด์โลก เหมือนแบรนด์ดัง ก็ไม่ได้’
สำหรับคนที่ใส่รูปพรรรณ ช่วงแรกที่เข้ามาศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการใส่ไปออกงาน และส่วนใหญ่จะเป็นทองรูปพรรณที่มีขนาดใหญ่ แต่ชิ้นที่แขวนอยู่ในร้านตู้แดงจะไม่ค่อยเห็นคนใส่ ส่วนใหญ่ที่เห็นคือใส่ห้อยพระ หรือซื้อไปให้คนอื่นเป็นของขวัญ เป็นต้น
ดังนั้น การจะดีไซน์ทองรูปพรรณให้คนหันมาใส่จริงๆ ต้องปรับความเชื่อของลูกค้าไปในตัวด้วย เช่น การใส่ทองไม่ได้ทำให้ดูแก่ ทั้งกับกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เดิมไม่เคยสนใจทองรูปพรรณเลย รวมถึงการออกแบบที่มีการปรับให้ใส่ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น
‘แรกๆ เรามาดูธุรกิจ พยายามยัดความมินิมอลมากเลย รู้สึกว่าทุกคนต้องเก็ท แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ แล้วแต่ความชอบ บางคนใส่มินิมอลไม่ขึ้นก็ไม่ใส่ ถ้าเรายัดมินิมอลไปเลยแล้วทิ้งลูกค้าเก่าก็ไม่ได้ เพราะกลุ่มนี้เขายังเป็นกลุ่มที่เป็นกำลังซื้อหลัก’
เมื่อถามถึงราคาที่คนอายุน้อยๆ ที่อาจไม่ได้มีความมั่งคั่งเท่าคนอายุมาก ซีบีโอของออสสิริสบอกว่า จริงๆ คนรุ่นใหม่ชอบซื้ออะไรที่ลงทุนได้อยู่แล้ว เช่น แบรนด์เนม และเครื่องประดับ ดังนั้น หน้าที่ของเราคือทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้รู้มากกว่าว่าทองรูปพรรรณก็ลงทุนได้เท่านั้น
[ ราคาทองปีนี้มีโอกาสไปต่อ (?) ]
พูดถึงธุรกิจไปแล้ว TODAY Bizview ชวนคุยเทรนด์ราคาทองหลังจากนี้ ซึ่งซีอีโอของออสสิริสบอกว่า ‘คำถามที่ว่า ราคาทองคำมีโอกาสขึ้นต่อหรือไม่นั้น เป็นคำถามที่อยู่ในใจนักลงทุนทุกคน’
ในมุมมองส่วนตัว จากคนที่อยู่ในวงการมานาน เรารู้ดีว่า ‘วิกฤต’ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ โควิด-19 ฯลฯ ราคาจะชู้ตขึ้นตอนมีวิกฤตตลอด เพราะทองคำถือเป็นแหล่งปลอดภัยของนักลงทุน ใครมีสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงวิกฤตก็ต้องโยกเงินมาซื้อทอง
ถึงอย่างนั้น ทุกครั้งที่ขึ้นเร็ว ก็ลงเร็วมากเช่นกัน อาการ ‘ติดดอย’ จึงมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากแชร์คือ เรามีสิ่งที่เรียกว่า ‘เงินเฟ้อ’ กดมูลค่าเงินตราลดลงทุกปี ซึ่งการซื้อทองถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยให้เราเอาชนะเงินเฟ้อได้
สำหรับเป้าหมายราคาทองคำปีนี้ ออสสิริสมองว่า ราคา Spot มีโอกาสทดสอบ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศ มีโอกาสทดสอบ 32,000 บาทต่อบาททองคำ แต่ด้วยราคาที่ขึ้นมาเร็วในไตรมาสแรก คาดว่าการทำ New High จะยังไม่เกิดในไตรมาส 2 นี้
ในกรณีเลวร้าย เช่น เกิดวิกฤตการเงินที่ไม่สามารถควบคุมได้ คาดว่ามีโอกาสเห็นราคาทองในประเทศทดสอบจุดสูงสุดใหม่ที่ 33,000 บาทต่อบาททองคำ