‘ศศิกานต์’ เปิดตัวเวทีดีเบตด้วยภาษามือ ชูนโยบายสิทธิมนุษยชน กรุงเทพฯ ต้องปลอดภัยสำหรับทุกคน

‘ศศิกานต์’ เปิดตัวเวทีดีเบตด้วยภาษามือ พร้อมชูนโยบายสิทธิมนุษยชน กรุงเทพฯ ต้องปลอดภัยสำหรับทุกคน

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 16 ขึ้นกล่าวบนเวที เปิดแนวคิดผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กรุงเทพ กับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน หัวข้อ “กรุงเทพฯ เมืองที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยเป็นผู้สมัครรายเดียวบนเวทีดังกล่าวที่ใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับผู้พิการทางการได้ยิน ซึ่ง น.ส.ศศิกานต์ ได้นำเกริ่นหลังใช้ภาษามือว่า “ท่านอาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่เชื่อว่าเสียงนี้จะดังอยู่ในใจของคนหลายๆ คน ใน กทม.”

จากนั้น น.ส.ศศิกานต์ ได้กล่าวว่า สิทธิมนุษยชนคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึ่งจะมี ไม่ว่าจะอายุเพศ หรือฐานะอะไร ทุกคนควรจะมีเท่าเทียมกัน และความปลอดภัย ก็คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรพึงมีเท่ากัน กาศชื่อไม่ว่าคนกรุงเทพฯยังต้องหวาดระแวงกับความปลอดภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิต หรือทรัพย์สิน คุณภาพชีวิต หรือแม้กระทั่งอนาคตของลูกหลานของเรา

ส่วนปัญหาคนเร่ร่อนในพื้นที่ กทม. จากที่ตนได้ลงพื้นที่ไปศึกษาพบว่า มีสูงถึง 4,500 ราย ซึ่งพวกเขาก็มีสิทธิมนุษยชนเช่นกัน สิ่งที่เราจะทำ คือการสร้างพื้นที่การนอน ห้องน้ำ ให้เขาและยอมรับในตัวตนว่าเขามีอยู่จริง เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

โดยจากสถิติ เดือน ต.ค. 2563 ถึง ส.ค. 2564 พบว่า อาชญากรรมทางด้านทรัพย์สินมีมากถึง 46,000 ราย อาชญากรรมทางด้านร่างกาย รวมถึงการละเมิดทางเพศมีสูงถึง 16,000 ราย กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ปลอดภัยจริงหรือ เราจะชินกับเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือ และนี่คือที่มาของนโยบายกรุงเทพฯต้องปลอดภัยสำหรับทุกคน

“ดิฉันแบ่งนโยบาย เป็นสามระยะคือ ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ระยะสั้น คือ ความปลอดภัยทางด้านชีวิต ทรัพย์สินและสุขภาพ แปลว่า กล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร 64,000 ตัวจะต้องใช้ได้ทุกกล้อง เราจะจัดตั้งศูนย์ command center ที่เวลาเกิดเหตุแล้วสามารถมาที่ศูนย์นี้ได้ และจะเรียกดูข้อมูลจากศูนย์นี้ได้อย่างทันท่วงที โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปติดต่อ ส.น.หรือสำนักงานเขต แล้วรออีกสามวันถึงจะได้ภาพจากกล้องวงจรปิด อันนี้ถือว่าช้าเกินไป ศูนย์ command จะทำให้กล้องทุกตัวใช้ได้ นอกจากนี้ เราจะจัดตั้งศูนย์ระวังในชุมชน เพราะกล้องวงจรปิดที่ดีที่สุดก็คือเพื่อนบ้าน ทุกคนในชุมชนจะช่วยกัน นอกจากนี้เราต้องปรับพื้นที่ใน กทม.ที่ไม่ได้ใช้สอยและเป็นพื้นที่เสี่ยง เราต้องเข้าไปติดตั้งไฟ เพื่อทำให้พื้นที่เหล่านี้ปลอดภัย จะถูกนำมาปรับเป็นที่อยู่อาศัยหลับนอนของคนเร่ร่อนไร้บ้าน”

น.ส.ศศิกานต์ กล่าวด้วยว่า สำหรับระยะที่ 2 คือ ความปลอดภัยด้านคุณภาพชีวิต นโยบายฝุ่น pm 2.5 เราจะแก้ไขด้วยทุกวิธีจัดโซนนิ่งรถที่ทำให้เกิดฝุ่น เราต้องแก้ที่สาเหตุ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวใน กทม.ต้องมี รวมไปถึงรถสาธารณะจะต้องเปลี่ยนมาใช้รถ ev เพื่อลดมลพิษ และสุดท้ายระยะยาว การสร้างอนาคตด้วยการศึกษา เรามีนโนบาย “การศึกษาศูนย์บาท” ที่เราทำขึ้น เพื่อวางรากฐานการพัฒนาด้านทักษะและความรู้ให้กับเยาวชนทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร โดยเด็กจะสามารถเข้าถึงประสบการณ์เรียนรู้ที่แปลกใหม่และมีราคาแพงอย่าง Metaverse จะต้องเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้ “ฟรี” เพราะต้องยอมรับว่าโรงเรียนในสังกัด กทม. ที่มีไม่ถึง 100 แห่ง เด็กที่มาอยู่ในโรงเรียนเหล่านี้ จะมีความสามารถและโอกาสค่อนข้างน้อย