คุยกับซีอีโอของ ‘บ้านปู เน็กซ์’ ในวันที่กลุ่มบ้านปู ไม่ได้มีแค่ธุรกิจถ่านหินอีกต่อไป

จากสภาพแวดล้อมของโลกเราในตอนนี้ น่าจะชัดแล้วว่า ‘ความยั่งยืน’ (Sustainability) ไม่ใช่แค่เทรนด์อีกต่อไป ทั้งสภาพอากาศแปรปรวน ภาวะโลกร้อน ฝุ่นควันและมลพิษต่างๆ

นอกจากตัวเราเองในฐานะปัจเจกแล้ว เหล่าธุรกิจเล็กใหญ่ก็หันมาให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น เพราะหากปราศจากความยั่งยืนแล้ว ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน

วันนี้ TODAY Bizview มีโอกาสคุยกับ ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด หนึ่งในธุรกิจที่มีบทบาทอย่างมากต่อประเด็นความยั่งยืนในไทย

[ กลุ่มบ้านปูไม่ได้ทำแค่ถ่านหิน ]

เท้าความก่อนว่า กลุ่มบ้านปูมีธุรกิจทั้งหมด 4 เสา คือ 1. ธุรกิจถ่านหิน (Mining) 2. ธุรกิจก๊าซ (Gas) 3. ธุรกิจผลิตพลังงาน (Power Generation) และ 4. ธุรกิจสีเขียว (Green Business) ซึ่งบ้านปู เน็กซ์ อยู่ในกลุ่มธุรกิจสุดท้ายทั้งหมด

โดยบริษัทฯ วางตัวเป็นผู้ให้บริการความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero Provider) ผ่าน 5 ธุรกิจหลัก คือ 1. ธุรกิจผลิตพลังงานหมุนเวียน 2. ธุรกิจแบตเตอรี่ 3. ธุรกิจพัฒนาเมืองและจัดการพลังงาน 4. ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้า และ 5. ธุรกิจอี-โมบิลิตี้

รวมๆ แล้วตอนนี้บริษัทฯ ให้บริการอยู่ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย

[ ตั้งกองทุนลงทุนธุรกิจสีเขียว ]

นอกจาก 5 ธุรกิจหลักแล้ว สิ่งที่บ้านปู เน็กซ์ กำลังมองโอกาสเพิ่มเติม คือ ธุรกิจคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพราะมองว่า การจะไปสู่เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) บริษัทฯ ควรจะมีธุรกิจที่สามารถให้คำปรึกษาเรื่องคาร์บอนได้

ปัจจุบันบ้านปู เน็กซ์ มีกองทุนบริษัทฯ (Corporate Venture Capital: CVC) ที่ออกไปลงทุนในกองทุนต่างๆ ทั่วโลก ทั้งกองทุนเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) และเทคโนโลยีเทคโนโลยีที่ควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Technology)

นอกจากนี้ บ้านปู เน็กซ์ ยังมีบทบาทในการช่วยคู่ค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่าน 5 โซลูชันข้างต้นของบริษัทฯ โดยเป็นบริการแบบที่ปรับแต่งเองได้ (Customize) เช่น ลูกค้าโรงงาน สามารถเลือกได้ว่าโซลูชันสีเขียว (Green Solution) ที่ต้องการประกอบด้วยอะไรบ้าง

ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ลูกค้าต้องการติดตั้งแบตเตอรี่ ลูกค้าต้องการติดตั้งที่ชาร์จอีวี ฯลฯ โดยบริษัทฯ จะช่วยลูกค้าเปลี่ยนผ่าน พร้อมนำระบบเอไอ (AIoT) มามอร์นิเตอร์การใช้ไฟฟ้าและพลังงานในตึกหรืออาคารให้แก่ลูกค้า

[ เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนไม่ยาก ]

หลังเริ่มทำธุรกิจมานาน 5 ปี ซีอีโอของบ้านปู เน็กซ์ แชร์ว่า การกระตุ้นให้คู่ค้าหันมาเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนนั้น ส่วนตัวคิดว่าไม่ยาก ด้วยความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างครบเครื่องตั้งแต่ขั้นตอนการดีไซน์ ไปจนถึงการทำงานและการดูแลรักษา

สำหรับค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับลูกค้าแต่ละรายว่าเดิมใช้ไฟฟ้าอยู่เท่าไหร่ สามารถติดโซลูชันได้กี่เมกะวัตต์เพื่อลดค่าไฟฟ้า บางรายอาจจะอยากติดตั้งแบตเตอรี่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าต้นทุนก็จะสูงขึ้น หากติดตั้งโซลูชันอื่นๆ เข้าไปเพิ่มเติมก็เช่นกัน

ส่วนใหญ่ลูกค้าของบ้านปู เน็กซ์ จะอยู่ในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม (Commercial and Industrial: C&I) เช่น โรงงาน โรงเรียน โรงแรม และในอนาคตที่จะเพิ่มเข้ามาคือ ห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองโอกาสในกลุ่มที่อยู่อาศัย (Residential) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพูดคุยกับผู้ประกอบการ

[ รักษ์โลกแค่ไหน วัดเป็นตัวเลขได้ ]

ขณะที่การวัดผล จะมาจากการวัดพลังงานสีเขียวที่ลูกค้าใช้ เช่น แปลงเป็นข้อมูลคาร์บอนที่ลดลงกี่กรัม หรือต้นไม้ที่ได้ปลูกกี่ต้น เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น แคมเปญ Infinite Cafe ที่บริษัทฯ ทำป๊อปอัพคาเฟ่ร่วมกับร้านกาแฟชื่อดัง Roots Coffee

โดยเป็นคาเฟ่ที่ใช้โซลูชันสีเขียว 100% ทั้งโซลาร์รูฟท็อป แบตเตอรี่ การจัดการขยะภายในร้าน และรถไฟฟ้ารับส่ง ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ช่วยวัดผลได้ว่า กาแฟแต่ละแก้วที่ลูกค้าบริโภคนั้น สามารถช่วยลดคาร์บอนได้กี่กรัม

ภายหลังจบแคมเปญนี้ พบว่า ยอดลดการปล่อย CO2 จากเครื่องดื่มทั้งหมดที่ลูกค้าซื้อ และจากการใช้พลังงานสะอาดในร้าน ประมาณ 5,000 กิโลกรัม มีผู้มาใช้บริการคาเฟ่กว่า 8,100 คน และเชื่อว่า Infinite Cafe ทำให้พลังงานสะอาดกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ แคมเปญดังกล่าว มาจากแนวคิดที่บ้านปู เน็กซ์ อยากนำเสนอว่า ‘พลังงานสีเขียวใกล้ตัวกว่าที่คิด’ สามารถทำกิจกรรมง่ายๆ ที่ทำอยู่ทุกวันอย่างการทานกาแฟ ก็สามารถช่วยลดคาร์บอนได้เหมือนกัน

[ เป้าหมาย Net Zero ของบ้านปู เน็กซ์ ]

เมื่อถามถึงแผน Net Zero ของบ้านปู เน็กซ์ ซีอีโอของบริษัทฯ แชร์ผลการดำเนินที่ผ่านมาและเป้าหมายในแต่กลุ่มธุรกิจว่า

1. ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ โรงไฟฟ้าพลังงานลม รวมกว่า 747 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากระบบโซลาร์รูฟท็อป และโซลาร์ลอยน้ำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมกว่า 205 เมกะวัตต์

เป้าหมาย 2568 เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 1,100 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากระบบโซลาร์รูฟท็อป และโซลาร์ลอยน้ำ 500 เมกะวัตต์

2. ธุรกิจแบตเตอรี่ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (GWh) ในโรงงานที่ประเทศจีน และตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ในไทย 2 แห่ง ที่จ.ชลบุรี

เป้าหมาย 2568 เพิ่มกำลังผลิตรวมเป็นประมาณ 6 GWh

3. ธุรกิจพัฒนาเมืองและจัดการพลังงาน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างพัฒนาระบบจัดการพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน (Energy Management and Infrastructure) 27 โครงการ

เป้าหมาย 2568 ขยายเป็น 60 โครงการ

4. ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้า ปัจจุบันดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา มีกำลังการซื้อขายไฟ 520 GWh

เป้าหมาย 2568 เพิ่มกำลังการซื้อขายไฟฟ้าเป็น 2,400 GWh ต่อปี

5. ธุรกิจอี-โมบิลิตี้ ให้บริการในรูปแบบระบบสัญจรทางเลือกครบวงจร (Mobility-as-a-Service หรือ Maas) เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนส่งและการเดินทางของลูกค้า ทั้งระบบจัดการการเดินทางและขนส่งด้วยยานพาหนะไฟฟ้าผสานดิจิทัลแพลตฟอร์ม และบริการด้านพลังงานสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า พร้อมบริการหลังการขาย

เป้าหมาย 2568 ขยายทุกบริการภายใต้ MaaS ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น ทั้งบริการด้านพลังงานสำหรับ EV ทั้งแบตเตอรี่ สถานีชาร์จและสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ และบริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับจัดการระบบเดินทางและขนส่ง

[ กลุ่มบ้านปูในวันที่ต้อง ‘สะอาด’ ]

บ้านปู เน็กซ์ ถือว่ามีความสำคัญกับกลุ่มบ้านปูค่อนข้างมาก จากเป้าหมายของบริษัทแม่ที่ตั้งใจจะทำธุรกิจให้ฉลาด และสะอาดยิ่งขึ้น (Greener & Smarter)

ในส่วนธุรกิจถ่านหินของกลุ่มบริษัทนั้น ซีอีโอของบ้านปู เน็กซ์ บอกว่า กลุ่มบริษัทฯ คงไม่ได้ขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่ยังคงคงไว้ในระดับเดิม และบ้านปู เน็กซ์ จะเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ธุรกิจถ่านหินเขียวขึ้น ดิจิทัลมากขึ้น และลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น

ที่ผ่านมา กลุ่มบ้านปูเน้นรับคนหนุ่มสาวมากขึ้น มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น โดยมองว่า การผสมผสานระหว่างคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และมีพลังงานหมุนเวียน (Renewable) จะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมองค์กร

แต่กลุ่มบ้านปูยังเป็นธุรกิจที่ต้องการประสบการณ์มากในระดับหนึ่ง ซึ่งยังต้องใช้คนที่ทำงานในกลุ่มบ้านปูอยู่แล้ว ผสมผสานไปกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อทำให้ธุรกิจมีความสอดคล้องกันมากขึ้น คล่องแคล่วมากขึ้น และเติบโตได้รวดเร็วมากขึ้น