‘บลูบิค’ ครึ่งแรกปี 65 กำไรโตเท่าตัว ตามเทรนด์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

บลูบิค (BBIK) ที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เผยผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2565 เติบโตเท่าตัวทั้งรายได้และกำไร ตามความต้องการด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เปิดเผยงบครึ่งแรกของปี 2565 ทำสถิติใหม่ทั้งรายได้และกำไร โดยรายได้รวมอยู่ที่ 243.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 126.92 ล้านบาท

ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 61.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 30 ล้านบาท และมีสัดส่วนการรับรู้รายได้แบบประจำ (Recurring Income) สูงถึง 46% ของรายได้รวม

หากดูผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 เทียบกับไตรมาส 1 มีรายได้รวมที่ 131.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% และมีกำไรสุทธิที่ 32.94 ล้านบาท เติบโต 15%

ผลการดำเนินงานที่เติบโตของบลูบิค มาจากแนวโน้มความต้องการด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันทั้งในประเทศและต่างประเทศยังมีสัญญาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังส่งให้บริษัทฯ มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) สะสมอีก 448 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บลูบิคยังไม่หยุดลงทุน ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ลงทุนในบริษัทย่อย 3 แห่ง เพื่อขยายงานในประเทศด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ดิจิทัลแพลตฟอร์ม และบล็อกเชน รวมถึงงานต่างประเทศ เพื่อให้บริการในภูมิภาคยุโรป

‘พชร อารยะการกุล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า มั่นใจผลประกอบการปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 70% หลังจากผลประกอบในช่วง 6 เดือนแรกออกมาเป็นที่น่าพอใจ จากคุณภาพการส่งมอบงานที่ดี ทำให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่

โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่บริษัทฯ จัดตั้ง บริษัท บลูบิค โกลบอล จำกัด เพื่อเปิดตลาดต่างประเทศเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งทำรายได้ไปแล้วมากกว่า 30 ล้านบาท หรือ 12% ของรายได้รวม จึงเชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 15-20%

นอกจากนี้ การกลับมาดำเนินการตามปกติของภาคธุรกิจหลังรัฐบาลประกาศมาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เป็นอีกปัจจัยเสริมให้รายได้ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ

นำโดยบริการธุรกิจการให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้กับองค์ (Digital Excellence & Delivery) ตามด้วยธุรกิจการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) ธุรกิจการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & Advanced Analytics) และธุรกิจบริหารโครงการเชิงกลยุทธ์ (Strategic PMO)

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทฯ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ก็เป็นไปตามที่บริษัทฯ คาดการณ์ไว้ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 131.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 32.94 ล้านบาท โตขึ้น 86% และยังมีส่วนแบ่งกำไร 3.2 ล้านบาท จากกิจการร่วมค้าบริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด

รวมถึงการเริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment หรือ BOI) ที่ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรายได้เป็นระยะเวลา 8 ปี โดยบริษัทฯ ได้เริ่มใช้สิทธิ์ดังกล่าวตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มปีตั้งแต่ปีหน้า

‘พชร’ บอกอีกว่า นับจากนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญของบริษัทฯ เพราะบลูบิคเตรียมขยายธุรกิจใหม่ๆ ผ่านการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) กิจการร่วมค้า (Join Venture) และการลงทุนเปิดบริษัทย่อยเพิ่มเติม เพื่อเสริมแกร่งให้กับบริษัทฯ ในทุกมิติ

‘ดังนั้น การเติบโตของบริษัทฯ นับจากนี้จะเป็นไปอย่างก้าวกระโดดและน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม อีกทั้งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันนั้นต้องทำอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จึงทำให้มีความต้องการจากตลาดอยู่ตลอดเวลา เพื่อปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ทันกับการแข่งขัน’

ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ลงทุนในบริษัทย่อยอีก 3 แห่ง คือ

1. บริษัท บลูบิค ไททันส์ จำกัดเพื่อดำเนินธุรกิจด้านพัฒนาระบบและให้คำปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security and Solution Implementation Services) และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

2. บริษัท บลูบิค (สหราชอาณาจักร) จำกัดซึ่งเป็นการจดทะเบียนในสหราชอาณาจักร เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นการให้บริการในภูมิภาคยุโรป

3. บริษัท บลูบิค เน็กซัส จำกัดเพื่อดำเนินธุรกิจด้านพัฒนาระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลและบล็อกเชนโซลูชัน (Digital Platform and Blockchain Solutions) และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ บริษัทย่อยทั้ง 3 แห่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรับรองการขยายธุรกิจของบริษัทฯ และเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

สำหรับแผนรองรับการขยายตัว บริษัทฯ เตรียมเพิ่มบุคคลากรอย่างน้อยอีก 50 ตำแหน่งภายในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีจำนวนทั้งสิ้น 320 ตำแหน่ง ซึ่งจะอาศัยความได้เปรียบจากการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีชาวต่างชาติและชาวไทย เพื่อส่งมอบงานคุณภาพระดับสากลให้กับลูกค้าได้