สัมภาษณ์ ‘บีม กวี’ กับบทบาทไลฟ์โค้ช ‘บริบูรณ์’ จาก ‘ทวงคืน’ ภาพยนตร์เขย่าขวัญ-โรแมนติกคอเมดี้

เปิดบทสัมภาษณ์ ‘บีม กวี’ กับบทบาทไลฟ์โค้ชหนุ่มชื่อ ‘บริบูรณ์’ จาก ‘ทวงคืน’ ภาพยนตร์เขย่าขวัญ-โรแมนติกคอเมดี้

ทวงคืน ภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญ-โรแมนติกคอเมดี้โดยฝีมือของผู้กำกับและศิลปินหนุ่มผู้มากความสามารถ ‘แดน-วรเวช ดานุวงศ์’ ที่เคยฝากฝีมือในสองสุดยอดภาพยตร์โรแมนติกแห่งยุคคือเรื่อง ‘คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์’ (2555) และ ‘ฤดูที่ฉันเหงา’(2556) มาแล้ว

งานนี้ workpointTODAY PLAY ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ ‘บีม กวี ตันจรารักษ์’ เจ้าของบทบาท บริบูรณ์ ไลฟ์โค้ชหนุ่มผู้มีความสามารถในการปลุกใจคนอื่นด้วยคำคมของตัวเอง และใช้ลูกน้อย “บารมี” มาเป็นเครื่องมือในการหาเงินเข้ากระเป๋าอย่างหน้าไม่อาย แต่ในชีวิตจริงนั้น บริบูรณ์คือมนุษย์พ่อยอดแย่ที่เห็นแก่ตัวจนภรรยาสาวสวยเองก็ยังไม่ยอมทน จึงทำให้ต้องหลบหนีจนมาพบกับ 2 ยูทูบเบอร์คู่รักที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน แล้วด้วยความที่ตัวเองกำลังจนตรอกอย่างหนัก มันก็อาจทำให้บริบูรณ์ตระหนักถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาได้บ้าง

แน่นอนว่า ‘บีม กวี’ จะมาเล่าถึงเบื้องลึกเบื้องหลังถึงบทบาท บริบูรณ์ ก่อนไปรับชมภาพยนตร์ทวงคืน แบบเต็มๆ 13 ก.ค.นี้

จุดเริ่มต้นของการรับเล่นภาพยนตร์ ทวงคืน

บีม :: เล่นได้ยังไง เรื่องนี้ก็คือต้องเริ่มจากที่น้องแดน วรเวช มาชวนไปเล่น คือจริงๆ เรารู้จักโปรเจกต์นี้ของน้องเขาตั้งนานแล้วล่ะ คือเขาคิด ผมว่าเขาคิดเขาอยากทำหนังเหมือนเป็นสไตล์แบบ Horror หนังผี มานานแล้ว ได้ยินมาประมาณ 5 ปีแล้ว แล้วเขาก็พัฒนา ปุ๊บ ปุ๊บ ปุ๊บ ปุ๊บ มานะครับผม ซึ่งเขาก็มาเล่าให้เราฟังแหละ ทุกขั้นตอน เขามาเล่าเรื่อง เหมือนเขาจะเทสต์ว่าเรื่องที่เขาเขียนสนุกไหม ซึ่งในแต่ละครั้งที่เขามาเล่าไม่เคยมีผมอยู่ในนั้นเลย จนกระทั่ง 2 ปีที่แล้วนะครับ ตอนเราทำคอนเสิร์ตด้วยกัน เขาก็มาบอกว่าพี่บีมได้แล้ว คราวนี้มีผมอยู่ในเรื่องล่ะ พี่บีมมาเล่นด้วยนะ เขาก็ชวนครับ ผมก็ถามว่าบทมันเป็นยังไง เขาก็บอกเป็นไลฟ์โค้ชพี่ ก็เลยเห้ย เหรอ ไลฟ์โค้ชเหรอ เออ..ลองดูครับ

‘บีม กวี’ กับบทบาทไลฟ์โค้ชหนุ่มชื่อ ‘บริบูรณ์’

บีม :: ในเรื่องนี้นะครับ รับบทเป็นไลฟ์โค้ชชื่อ บริบูรณ์ นะครับผม คืออย่างที่บอกนะครับว่าตัวละครที่ผมเล่นเป็นไลฟ์โค้ช เพราะฉะนั้นเขาก็จะแบบ มีอาชีพเป็นผู้ชี้นำแนวทางคน ให้กำลังใจคนนะครับผม โดยอาจจะแปลกหน่อย แต่ว่าเขาใช้ลูกเขาเป็นแรงผลักดันให้คนอื่น เป็นกำลังใจให้คนอื่น แบบนี้ ดูผมได้รับกำลังใจลูกผม ทุกคนก็จะได้เหมือนกัน อะไรแบบนี้ครับ แล้วก็คาแรคเตอร์ก็คือเหมือนเป็น ตอนต้นเรื่องเหมือนกับเขาให้กำลังใจคนอื่น แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เขาทำอยู่ เขาเอามาจากไหน หรือว่าเขาหลงทางอยู่หรือเปล่า อะไรแบบนี้นะครับ ซึ่งในเรื่องนี้ตัวละครก็จะค่อยๆ เรียนรู้ไป ผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาภายในเรื่องนี้ จนเขารู้ว่าเออ จริงๆ แล้วสิ่งไหนที่มันสำคัญ และสิ่งที่เขาเป็นอยู่ เขาเป็นไลฟ์โค้ชที่ถูกต้องแล้วหรือเปล่าครับ

การปรับตัวให้เข้ากับบทบาท ‘บริบูรณ์’

เราก็ต้องไปดูครับว่าการเป็นไลฟ์โค้ช เขาทำกันยังไง เราก็ไปดูตัวอย่างมาจากหลายๆ แบบทั้งต่างประเทศด้วย ทั้งในประเทศเราด้วยนะครับ ดูว่าเอ้ย ไลฟ์โค้ชแต่ละสไตล์เขาเป็นยังไง วิธีการพูด สอนคน หรือวิธีการแบบชี้ชวน วิธีการให้กำลังใจเขาเป็นยังไง หลักยึดของเขาเป็นยังไง แม้แต่น้ำเสียงเอง ท่าทางอะไรต่างๆ เราก็พยายามจะแบบ ดึงจากตรงนู้นมา ตรงนี้มา แล้วก็มาปรับเปลี่ยน คือทุกอย่างต้องบอกว่า มันก็ต้องปรับให้มันเข้ากับตัวเราด้วย ใส่ลงไปว่า เห้ย ถ้าแบบ บีม กวี เป็นไลฟ์โค้ชมันจะออกมาเป็นแบบนี้ อะไรแบบนี้ครับ ก็มันเป็นเหมือนอีกมัลติเวิร์สนึงที่แบบว่าผมทำอาชีพเป็นไลฟ์โค้ช แล้วต้องถ่ายทอดออกมาอะไรประมาณนั้น

ซีนที่ยากที่สุดในเรื่องทวงคืน สำหรับ ‘บีม กวี’

มันมีหลายซีนเหมือนกันครับ ที่ถ่ายทำลำบาก อย่างเช่นฉาก รีดนมควาย ผมต้องไปรีดนมควายประมาณตอนตี 3 ตี 4 อะไรแบบนี้ครับ ควายก็ง่วงล่ะ แล้วเราก็ต้องไปนั่งดูเต้าควาย แล้วก็เอามือไปจับ ซึ่งก็ต้องจับจริงด้วย เพราะว่าเออ รีดแบบนี้ เขาก็ง่วงอยู่แล้ว เขาก็คงรําคาญ เขาก็เอาขามาจะถีบ คือถีบด้วย ถีบโดนด้วย แต่ยังหลบทัน วืด มันวืดนิดนึง นี่ก็รู้สึกว่าเออเข้าใจแหละ เขาคงรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาโดนจับนมตอนตี 3 ตี 4 อะไรแบบนี้ คงรำคาญ ก็คือยาก แล้วเราถ่ายมันก็ยังไม่ได้ ก็ต้องไปถ่ายกับนมปลอม นมปลอมก็รีดออกมายาก คือมันแบบอะไรกับนมควายสักทีเนี่ยแดน อันนี้ก็อย่างนึง นอกนั้นก็ซีนดราม่า ก็ทั่วไปครับ ก็เป็นสิ่งที่ตัวละครต้องเจอ แล้วก็เศร้า อะไรแบบนี้ เหมือนกำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป แล้วเราก็ต้องเล่นใส่อินเนอร์ แล้วเวลาก็มีค่อนข้างน้อย คือต้องเรียกว่าการถ่ายทำทั้งหมดมันค่อนข้างจะถ่ายแข่งกับเวลาเหมือนกัน เพราะว่าถ่ายตอนกลางคืน แล้วก็โลเคชั่นมันค่อนข้างจะเป็นแบบนอกสถานที่ ซึ่งเราไม่สามารถถ่ายตอนกลางวันแล้วหลอกแสงได้ เพราะฉะนั้นการทำงานต่างๆ มันก็ต้องมั่นใจแล้วว่าเราจะนำเสนอสิ่งนี้ แล้วก็ถ่ายทำออกมาเลย

สิ่งที่ได้รับกลับมาจาก บทบาทของบริบูรณ์

ผมว่าก็ มันเหมือนการเล่นบทนี้ มันเป็นการเตือนใจอย่างหนึ่งเหมือนกันว่า มันทำให้เรานึกถึงว่า เราควรจะใช้เวลากับคนที่เรารักยังไง ในช่วงที่เรายังมีโอกาส เพราะว่าของบางอย่างมันหลุดลอยไปแล้ว มันก็ไม่ใช่แล้วนะ มันคือไทม์มิ่งมันก็จะไม่ได้แล้ว เราอาจจะไม่มีเวลามาแบบเสียใจ คือแบบเสียใจเท่าไหร่เราก็ไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว อะไรแบบนี้ครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมก็ผ่านเหตุการณ์แบบนั้นในชีวิตมาก็เยอะเหมือนกัน เพียงแต่ว่าการเล่นเรื่องนี้มันก็เหมือนเป็นการย้ำเตือนอีกรูปแบบหนึ่งว่าแบบ เออเราควรจะทำยังไงครับ

ฝากถึงแฟนๆ ที่รอชมภาพยนตร์เรื่อง ‘ทวงคืน’

ก็ฝากภาพยนตร์เรื่อง ทวงคืน ด้วยนะครับผม เจอกันได้นะครับที่โรงภาพยนตร์ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้นะครับ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมคาดหวังว่าอยากให้ทุกคนเข้ามาแล้วก็สนุกสนาน ได้หัวเราะแบบเต็มๆ นะครับผม ได้ดูอะไรแปลกๆ นะครับ ได้ตกใจในเวลาแบบที่ หนังผีอะ ก็อยากให้ทุกคนมีความสุขนะครับ ส่วนถ้าเผื่อเข้ามาแล้วมันจะทำให้รู้สึกสะกิดใจ หรือว่าได้ข้อคิดอะไรกลับไปผมยินดีด้วยมากๆ เลย แต่ว่าสิ่งแรกที่เราอยากให้คุณได้เลยคือความสนุกสนานครับ แล้วผมคิดว่าคุณจะได้สิ่งนั้นไปแน่นอน แล้วเจอกันนะครับในโรงภาพยนตร์ทุกโรงเลยครับผม กับภาพยนตร์เรื่อง ทวงคืน ครับ