โจ ไบเดน ขอชาวอเมริกัน สวมหน้ากาก 100 วัน เริ่มทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล

ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมขอให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากาก ในช่วง 100 วันแรกของการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ พร้อมย้ำจะขอให้นายแพทย์แอนโทนี ฟาวชี ช่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อไป

วันที่ 4 ธ.ค. 2563 สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น สื่อสหรัฐฯ สัมภาษณ์นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยถามถึงมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดรุนแรงในประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งนายไบเดนเปิดเผยว่า เขาจะขอให้ชาวอเมริกันทุกคนสวมหน้ากากในช่วง 100 วันแรกหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เพื่อเป็นการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19

ว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนยืนยันว่า การร้องขอดังกล่าวจะเป็นช่วงเวลาเพียง 100 วัน ไม่ได้มีผลตลอดไป พร้อมเปิดเผยอีกว่า รัฐบาลของเขาอาจสั่งการให้ผู้ที่ไปติดต่อ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคนสวมหน้ากากตลอดเวลาที่อยู่ในที่ทำการของหน่วยงานรัฐ รวมไปถึงอาจบังคับให้ชาวอเมริกันต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อโดยสารรถประจำทางหรือเครื่องบิน

นายไบเดนยืนยันว่า จะขอร้องให้นายแพทย์แอนโทนี ฟาวชี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ ซึ่งปัจจุบันเป็นคณะทำงานคนสำคัญในการจัดการโรคโควิด-19 ของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำหน้าที่ต่อไป โดยอาจขอให้ ดร.ฟาวชี เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขประจำรัฐบาลไบเดน

นายแพทย์แอนโทนี ฟาวชี ถูกจับตาอย่างมากว่า อาจมีความเห็นไม่ลงรอยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันหลายเรื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศระหว่างการหาเสียงว่าจะไล่นายแพทย์ฟาวชีออก หากได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย

ในการสัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น ว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนยังยืนยันด้วยว่า เขายินดีที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 หากนายแพทย์ฟาวชียืนยันว่าปลอดภัย พร้อมย้ำว่านี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องออกมาแสดงความมั่นใจต่อหน้าสาธารณชน

การออกมาแสดงความพร้อมรับวัคซีนโควิด-19 ของนายไบเดนเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3 คน คือนายบารัค โอบามา นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายบิล คลินตัน เพิ่งออกมาประกาศพร้อมเป็นอาสาสมัครฉีดวัคซีนโควิด-19 หากวัคซีนได้รับการอนุมัติจากทางการสหรัฐฯ ว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพต้านเชื้อได้จริง

ปัจจุบันสหรัฐฯ มีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมอยู่ที่กว่า 14.5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 282,000 คน โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 218,000 คน