SHARE

คัดลอกแล้ว

4 รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (รองผู้ว่าฯ กทม.) ประกอบด้วย น.ส.ทวิดา กมลเวชช, นายวิศณุ ทรัพย์สมพล, นายจักกพันธุ์ ผิวงาม และนายศานนท์ หวังสร้างบุญ ได้ร่วมกันแถลงผลงานครบรอบ 6 เดือน ในหัวข้อ “9 ด้าน 9 ดี ก้าวสู่ปี 66 กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่”

โดย นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกกรุงเทพมหานคร ได้เกริ่นนำการแถลงข่าวว่า รองผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งรับผิดชอบภารกิจแต่ละด้านได้ร่วมสะท้อนเป้าหมายของการทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ และการเดินหน้าเพื่อก้าวเข้าสู่ปี 2566 เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ตามตัวชี้วัดซึ่ง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กำหนดไว้ 9 ด้าน 9 ดี ซึ่งจะเป็นการดึงให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ และสามารถดึงดูดคนเก่งๆ ให้เข้ามา เพราะกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งโอกาสมากขึ้น “9 ด้าน 9 ดี” ประกอบด้วย

1. ปลอดภัยดี
2. เดินทางดี
3. สุขภาพดี
4. สร้างสรรค์ดี
5. สิ่งแวดล้อมดี
6. โครงสร้างดี
7. เรียนดี
8. เศรษฐกิจดี
9. บริหารจัดการดี

เริ่มที่ รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวว่า หลังจาก 99 วันที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เรามีการพูดถึงกัน คือ สิ่งหนึ่งที่เราได้พูดถึงกันคือทำอย่างไรให้สิ่งที่เป็นเป้าหมายของผู้ว่าฯ ชัชชาติ จากนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี เชื่อมโยงไปสู่ยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานคร 7 มิติ โดยออกมาเป็นเป้าหมายให้กับคนกรุงเทพฯ 74 เรื่อง ภายใต้ 74 เรื่องนี้ได้มีการถ่ายทอดนำไปสู่ 74 OKRs ของหน่วยงานเรียบร้อยแล้ว โดยกำหนด KPIs ของหน่วยงานนั้น ๆ และให้หน่วยงานทำคำของบประมาณในปี 67 จะใช้วิธีคิดงบประมาณฐานศูนย์ Zero Baseds เพื่อมองเป้าหมายว่าประชาชนจะได้อะไร และพิจารณาว่าอะไรควรดำเนินการต่อ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน

เริ่มจากให้การสนับสนุนงาน ปัจจุบัน กทม. จ้างงานคนพิการแล้ว 323 คน ภายใน มี.ค. 66 เพิ่มอีก 4 ตำแหน่ง 11 อัตรา ภายใต้การจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้มีความสะดวกมากขึ้น ในขณะเดียวกันมีการพัฒนาทักษะเดิมของเส้นเลือดฝอย เพิ่มเติมทักษะใหม่ให้กับเจ้าหน้าที่ของ กทม. ให้สามารถทำงานได้มากกว่า 1 งาน ในกลุ่มนักจัดการเมือง นักสุขภาพเมือง นักสิ่งแวดล้อมเมือง นักปลอดภัยเมือง และวิศวกรเมือง

รวมทั้งมีการกระจายอำนาจเพิ่มประสิทธิภาพการบริการด้านสังคมและคุณภาพชีวิตในสำนักงานเขต สู่ประชาชนในพื้นที่ (Sandbox) คลองเตย บางเขน โดยเลือกจากบริบทของเขตที่มีความแตกต่างกัน เพื่อปรับโครงสร้างของงาน เงิน คน โดยสำนักงานเขตมีอำนาจในการตัดสินใจบนบริการสาธารณะที่สอดคล้องกับพื้นที่และปัญหาของประชาชนได้แท้จริง

ระบบบริการปฐมภูมิเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยมี  3 เรื่องใหญ่ ๆ ที่ทำในตอนนี้ คือ One Stop Service – Telemedicine – BKK Pride Clinic เริ่มจากศูนย์บริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ เปิดให้บริการในรูปแบบ One Stop Service จำนวน 9 แห่ง ดังนี้ โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ฯ โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ดำเนินการออกบัตรประจำตัวคนพิการจำนวนรวมทั้งสิ้น 2,345 ราย โดยในปี 66 จะเปิดศูนย์บริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง จนครบ 11 โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร

สำหรับบริการทางการแพทย์ผ่านระบบโทรเวชกรรม Telemedicine ให้บริการปรึกษา ตรวจรักษา ตรวจสอบสิทธิ นัดหมาย จองคิว ส่งต่อข้อมูล เปิดใช้ในโรงพยาบาลสังกัด กทม. 9 แห่ง มีผู้รับบริการ 45,583 ราย โดยในปี 66 จะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 2 แห่ง นอกเหนือจากการให้บริการรับคำปรึกษาและรักษาพยาบาลแล้ว ยังให้บริการระบบสารสนเทศเพื่อการส่งต่อผู้ป่วย (e-Referral) แบบไร้รอยต่อ ยังเปิดใช้งานระบบ e-Referral ระหว่างศูนย์บริการสาธารณสุขกับโรงพยาบาล ประหยัดเวลา ได้รักษาเร็วขึ้น ลดเวลาการตอบรับนัดเหลือไม่เกิน 30 นาที (ค่าเฉลี่ย 20 นาที และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกรณีความซับซ้อนของการรักษา)

นอกจากนี้ ยังยกเลิกการใช้ใบส่งตัว โดยใช้งานระบบ e-Referral จากศูนย์บริการสาธารณสุขกับ 69 แห่ง ไปยังโรงพยาบาลในสังกัดจำนวน 6 แห่ง มากกว่า 5,000 เคส นำใช้งานจริงแล้วที่ดุสิตโมเดล และราชพิพัฒน์โมเดล โดยในเดือน ม.ค. 66 ระบบ e-Referral พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ ทุกโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุขในสังกัดกทม.

โดยรองผู้ว่าฯ ทวิดา ได้รายงานสรุปข้อมูลการดำเนินงาน Sandbox ดุสิตโมเดล ครอบคลุม 4 เขต เขตดุสิต พระนคร บางซื่อ และบางพลัด ในปีงบประมาณ 65 มีผู้ใช้บริการ Telemedicine 1,391 ราย เดือนส.ค. – พ.ย. 65 มีผู้ใช้บริการ  e-Referral 3,361 คน และในปีงบประมาณ 65 ใช้บริการ V EMS 1,391 คน สำหรับ Sandbox ราชพิพัฒน์โมเดล ครอบคลุมพื้นที่ 5 เขต ประกอบด้วย ทวีวัฒนา บางแค หนองแขม ตลิ่งชัน ภาษีเจริญ โดยมียอดสะสมให้บริการผ่าน Telemedicine 67,330 คน ยอดสะสมให้บริการ Commu-lance 4,337 คน ยอดสะสมให้บริการผ่าน Motor-lance 494 คน ยอดสะสมให้บริการผ่านระบบเยี่ยมบ้านออนไลน์ 941 คน (ข้อมูลระหว่าง 1  ต.ค. – 19 ธ.ค. 65) ในส่วนของ BKK Pride Clinic ให้บริการแล้ว 11 แห่ง (ก.ค. – พ.ย. 65) และจะเปิดเพิ่ม 5 แห่ง จนครบ 16 แห่ง ภายใน ธ.ค. 65 ข้อมูล ณ วันที่ 16 ธ.ค. 65 มีผู้รับบริการ 4,619 ราย

เปิดข้อมูล BKK Risk Map แผนที่เสี่ยงภัยในกรุงเทพมหานคร พร้อมเปิดข้อมูล 5 ภัย (ระยะที่ 1) ได้แก่ อุทกภัย อัคคีภัย จุดเสี่ยงและอันตราย ความปลอดภัยทางถนน มลพิษทางอากาศ PM 2.5 ส่งออกข้อมูลแบบ Machine-readable data ซึ่งสามารถใช้งานได้ทันที โดยเข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/7ERBr โดยประชาชนสามารถเข้ามาดูได้ และช่วยสร้างความตระหนักเรื่องของภัย และอีกมุมคือสร้างการมีส่วนร่วมในการรายงานข้อมูลจุดเสี่ยงต่างๆ โดยในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงกับ Traffy Fondue และ CCTV นอกจากนี้ กทม.ยังใช้ข้อมูลจาก BKK Risk Map ในการวางแผนการวางแผนทางด้านสาธารณภัยทั้งหมด

ในปีงบประมาณ 66 มีการเพิ่มประปาหัวแดง 248 จุดในพื้นที่เสี่ยงสูง จากทั้งหมด 23,598 จุด เพิ่มเครื่องดับเพลิงในชุมชนแออัด 451 ชุมชน รวมไม่น้อยกว่า 268 ถัง เพิ่มรถกู้ภัยทางถนน 15 คัน และพัฒนาสถานีดับเพลิงทันสมัยตอบโจทย์เมือง โดยเร่งยกระดับสถานีดับเพลิงหลัก 37 แห่ง และ 11 สถานีย่อย รวมทั้งปรับปรุง 1 แห่ง สร้างใหม่ 4 แห่ง (สายไหม สุทธิสาร บางอ้อ ทวีวัฒนา) รวมทั้งเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่และชุมชน

โดยมีแผนอำนวยการเหตุการณ์สำหรับผู้อำนวยการเขต และผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต ดำเนินการแผนซ้อมและปฏิทินซ้อมดับเพลิง อพยพ ระดับชุมชน เชื่อมโยง เชื่อมงาน สานพลังกู้ชีพกู้ภัย นอกจากนี้ ยังมีการลงนามความร่วมมือ MOU ร่วมกับมูลนิธิกู้ชีพกู้ภัย 7 แห่ง แบ่งโซนการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินอย่างมีเอกภาพภายใต้มาตรฐานเดียวกัน โดยในปี 66 นำร่องซ้อม 438 ชุมชน ซึ่งจะทำให้ กทม. บริหารจัดการเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รองผู้ว่าฯ วิศณุ เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง (Infrastructure) ซึ่งมีความท้าทายและซับซ้อน รวมถึงต้องอาศัยหลายหน่วยงานในการแก้ไขปัญหา

“เรื่องแรกคือปัญหาน้ำท่วม ซึ่งมาจากน้ำฝน และน้ำเหนือน้ำหนุน โดยในปีนี้ปริมาณน้ำฝนสะสมมากกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปี ถึง 40% (ค่าเฉลี่ย 2534-2563 รวม 1,689.7 มม. ค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปี 2565 รวม 2,355.5 มม.) ทำให้กรุงเทพมหานครต้องเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำให้มากขึ้น จากการถอดบทเรียนน้ำท่วมที่ผ่านมา จุดเสี่ยงน้ำท่วมจากน้ำฝน รวมจำนวน 661 จุด ซึ่งสิ่งที่เราทำได้คือการเร่งระบายให้น้ำที่มีนั้นออกไปสู่คลองและแม่น้ำให้ได้เร็วที่สุด ผ่านการลอกท่อ ขุดลอกคลอง และปรับปรุงสถานีสูบน้ำ”

“โดยปี 65 ดำเนินการลอกท่อไปแล้ว 3,357 กม. จากทั้งหมด 6,564 กม. และในปี 66 จะดำเนินการ 3,875 กม. การปรับปรุงบ่อสูบน้ำ ปี 65 ดำเนินการปรับปรุง 12 แห่ง และเพิ่มปั๊ม 18 ตัว ปี 66 ปรับปรุงเพิ่มอีก 69 แห่ง และเพิ่มปั๊ม 124 ตัว (Mobile Pump) การขุดลอกคลอง จาก 2,742 กม. ปี 65 ดำเนินการแล้ว 159 กม. (ปี 60-65 รวม 1,012 กม.) ปี 66 ดำเนินการ 183 กม.”

“นอกจากนี้ในปี 65 ดำเนินการปรับปรุงและซ่อมแซมสถานีสูบน้ำ 23 แห่ง และอุโมงค์ระบายน้ำ ปี 66  ดำเนินการปรับปรุงและซ่อมแซมสถานีสูบน้ำ 39 แห่ง และอุโมงค์ระบายน้ำเพิ่มปั๊ม 30 ตัว เพื่อให้สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำเจ้าพระยาได้เร็วขึ้น ซึ่งการระบายน้ำของกทม.ในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา”

สำหรับจุดเสี่ยงน้ำท่วม จากน้ำเหนือหนุน 119 จุด ที่ผ่านมามีการซ่อมแซมแนวป้องกันน้ำท่วมและแนวฟันหลอ 21 แห่ง ในปี 65 ดำเนินการเพิ่มอีก 25 แห่ง และปรับปรุงทางเท้า 1,000 กม. ดำเนินการแล้วเสร็จ 150 กม. ปี 66 จะดำเนินการ 250 กม. สำหรับการปรับปรุงทางเท้าจากการรายงานของประชาชน ผ่าน Traffy Fondue มีจำนวน 20,107 รายการ ดำเนินการแล้วเสร็จ 12,695 รายการ (63%) รวมถึงปรับปรุงทางวิ่ง เพื่อทำให้เป็น Bangkok Trail สร้างเศรษฐกิจให้เข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ 500 กม. ดำเนินการแล้วเสร็จ 20 กม. 2 เส้นทาง และในปี 66 จะดำเนินการ 100 กม. รวม 10 เส้นทาง

การจัดระเบียบสายสื่อสาร ปี 65 ดำเนินการแล้วเสร็จ 161.56 กม. (37 เส้นทาง) ปี 66 ดำเนินการเพิ่ม 442.62 กม. และได้นำสายสื่อสารลงดิน ปี 65 ดำเนินการแล้วเสร็จ 6.3 กม. ปี 66 จะดำเนินการเพิ่ม 29.2 กม. ซึ่งกทม.ได้ร่วมดำเนินการใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กรุงเทพมหานครได้วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำแผนที่ 100 จุดเสี่ยงอุบัติเหตุ เพื่อกำหนดแนวทางการทำงาน ประกอบด้วย

1. รณรงค์และกวดขันวินัยจราจรเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน

2. การปรับปรุงเครื่องหมาย ป้ายจราจรสัญญาณไฟจราจร และการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย

3. การปรับปรุงทางกายภาพในปี 65-66 ดังนี้

ปี 2565 ดำเนินการ ล้างทำความสะอาด 421 แห่ง (กทม. มี 2,794 ทางข้าม) ทาสีโคลด์พลาสติก 145 แห่ง และปรับปรุงทางม้าลายสีขาวที่ซีดจาง/ชำรุด 1,000 แห่ง ติดตั้งสัญญาณไฟจราจรทางแยก 4 แห่ง, สัญญาณไฟจราจร ทางข้ามชนิดกดปุ่ม 85 แห่ง และสัญญาณไฟกะพริบเตือนทางข้าม 50 แห่ง

ปี 2566 ดำเนินการ ล้างทำความสะอาด 500 แห่ง ทาสีโคลด์พลาสติก 210 แห่ง และปรับปรุงทางม้าลายสีขาวที่ซีดจาง/ ชำรุด 500 แห่ง  ติดตั้งสัญญาณไฟจราจรทางแยก 2 แห่ง และสัญญาณไฟกะพริบเตือนทางข้าม 50 แห่ง

ปัญหารถติดซึ่งผู้ว่าฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก กทม.ได้ดำเนินการวิเคราะห์จุดฝืดรถติด พบว่า มี 266 จุด ซึ่งจะดำเนินการ ดังนี้  กวดขันวินัยจราจร ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ (soft power) แนวทางตามหลักวิศวกรรมจราจร (ปรับปรุงเชิงกายภาพ) และใช้เทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการไฟจราจร (Intelligent Traffic Management System): ITMS ซึ่งจากนี้ไปจะทำงานร่วมกับตำรวจจราจรเพื่อจัดการจราจรให้คล่องตัวมากขึ้นด้วย

“อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน หน่วยงานและจิตอาสา เนื่องจากกทม.เป็นเมืองใหญ่ที่จะต้องอาศัยทุกภาคส่วนในการทำงานและแก้ไขปัญหา เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” รองผู้ว่าฯ วิศณุ กล่าว

ขณะที่ รองผู้ว่าฯ จักกพันธุ์ บอกว่า ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 โดยกำหนดเป็นมาตรการ 16 มาตรการ โดยมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำ 16 มาตรการไปปฏิบัติ สิ่งที่เราดำเนินการ คือ ตรวจ ติดตาม และแก้ไข เริ่มจากการหาสาเหตุของปัญหาฝุ่นละอองมีหลายปัจจัย โดยสำนักงานเขตและสำนักที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่สำรวจปัญหาของฝุ่นว่าเกิดจากอะไรบ้าง โดยมีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยดำเนินการตรวจรถยนต์ รถประจำทาง รถบรรทุก 58,711 คัน ตรวจโรงงาน แพลนท์ปูน ไซต์ก่อสร้าง ถมดิน 1,900 แห่ง ติดตาม BKK Clean Air Area ตรวจสอบแหล่งกำเนิดทุกแห่งอย่างน้อย 2 ครั้งต่อเดือน

ทั้งนี้ ได้มีการแก้ไขสั่งปรับปรุงโรงงาน แพลนท์ปูนไซต์ก่อสร้าง ถมดิน 41 ครั้ง สั่งแก้ไข-ห้ามใช้รถยนต์ รถประจำทาง รถบรรทุก 1,020 คัน สั่งปรับปรุงโรงงาน แพลนท์ปูน ไซต์ก่อสร้าง ถมดิน 41 ครั้งโดยมีจุดวัดค่าฝุ่นในพื้นที่ กทม. 70 จุด ผ่าน App AirBKK และมีการใช้ Traffy Fondue แจ้งจุดกำเนิดฝุ่น

การดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ/ภาคเอกชน ในการบูรณาการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อให้นโยบายสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ในอนาคต กทม. จะร่วมมือกับแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งจะทราบข้อมูลฝุ่นละอองในแต่ละจุดว่ามีปัญหาอะไรบ้าง และแนวทางการแก้ปัญหาของ กทม. ต่อไปในอนาคตมีอะไรบ้าง ปัจจุบันค่ามาตรฐาน PM 2.5 ของประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษกำหนดไม่เกิน 50 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ในอนาคตกรมควบคุมมลพิษ ได้มีการลดจำนวนจาก 50 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เหลือ 37.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ซึ่งจะใช้ประมาณเดือน มิ.ย. 66 ซึ่งในเดือน พ.ย. 65 ค่าเฉลี่ยค่าเฉลี่ย ฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 27 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

สำหรับความคืบหน้านโยบายสวน 15 นาที ขณะนี้สำนักงานเขตและสำนักสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่ทำสวน 15 นาที ได้แล้ว 98 แห่ง เนื้อที่ประมาณ 641 ไร่ แบ่งเป็น ที่ดินกทม. 39 แห่ง หน่วยงานรัฐ 34 แห่ง เอกชน 25 แห่ง เปิดให้บริการแล้ว 13 แห่ง ดังนี้ 1. สวนหน้าคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลฯ 2. สวนหย่อมดับเพลิงสุทธิสาร 3. สวน Vadhana Pocket Park ซอยทองหล่อ 10 4. สวนหย่อมซอยสุขุมวิท 62/3 ใกล้กับโรงแรมคอนวีเนียนพาร์ค 5. สวนหย่อมซอยวชิรธรรมสาธิต 27 (ชุมชนหมู่บ้านทับแก้ว) 6. สวนหย่อมพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก (เขตบางรัก) 7. สวนสุขใจ 8. สวนจุดพักรถลาดกระบัง 9. ยูเทิร์นเพลินใจ ทางกลับรถใต้สะพานบางขุนศรี 10. ที่ว่างชุมชนการเคหะธนบุรีโครงการ 1 ส่วน 4 11. สวนสมเด็จย่า บางขุนเทียน 12. ลานอเนกประสงค์ สวนสุขเวชชวนารมย์ และ 13. สวนบางบอนสุขใจ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่และกิจกรรมต่างๆ ในสวน เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

ด้านการจัดระเบียบหาบเร่-แผงลอย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและมีความสำคัญ ในการให้ผู้ค้าและผู้เดินเท้าใช้ทางเท้าร่วมกันได้ โดยปัจจุบัน กทม. มีจำนวนจุดผ่อนผันทั้งหมด 95 จุด ดำเนินการแล้วเสร็จ 55 จุด กำลังดำเนินการ 31 จุด ขอทบทวน 9 จุด และนอกจุดผ่อนผันทั้งหมด 618 จุด โดยมีการสำรวจนอกจุดผ่อนผัน 50 เขต จำนวนผู้ค้า 13,964 ราย พร้อมดำเนินการจัดระเบียบให้ผู้ค้าอยู่ในเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กำหนด พร้อมทั้งมีการเก็บข้อมูลผู้ค้า และขอความร่วมมือทำความสะอาดพื้นที่ทำการ ซึ่งมีพื้นที่ที่ดำเนินการไปแล้ว อาทิ สำนักงานเขตปทุมวัน หน้าอาคารโรเล็กซ์ (ถนนวิทยุ) สำนักงานเขตบางนา หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีบางนา สำนักงานเขตดอนเมือง บริเวณถนนสรงประภา เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจพื้นที่ 125 จุด เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์อาหาร (Hawker Center) โดยมีการแบ่งโซนพื้นที่ร่มบังแดดฝนเพื่อความสะดวก จัดให้มีจุดคัดแยกขยะพื้นที่ซักล้างเพื่อความสะอาด พร้อมจัดให้มีพื้นที่ส่วนกลางในการจัดกิจกรรมเพื่อความสนุกสนาน โดยมีพื้นที่นำร่อง Hawker Center 2 จุด ได้แก่ เขตมีนบุรี สวนลุมพินีประตู 5 ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ

รองผู้ว่าฯ จักกพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวานนี้มีข่าวจากนิตยสาร Time Out ได้มีการจัด 33 อันดับถนนที่ดีที่สุดในโลก จากการสัมภาษณ์ผู้คนทั่วโลกกว่า 20,000 คน โดยอิงจากถนนสายชั้นนำของโลก ที่โดดเด่นทั้งอาหาร ความสนุกสนาน วัฒนธรรม และชุมชน ซึ่งถนนเยาวราช ติดลำดับที่ 8 นั่นหมายถึง ถนนในพื้นที่ กทม. มีศักยภาพ ที่จะทำเป็นที่ค้าขาย หรือ Street Food ให้ประชาชนได้ค้าขาย คนทั่วไป และนักท่องเที่ยว ได้จับจ่ายใช้สอย ซึ่งผู้ค้าต้องมีส่วนในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับ กทม. ให้เป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยว จะสามารถทำให้ Street Food ของ กทม. มีความยั่งยืนและอยู่ร่วมกันได้ระหว่างประชาชนที่ใช้ทางเท้ากับผู้ค้าบนทางเท้า

รองผู้ว่าฯ ศานนท์ เปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนาคนพร้อมกับพัฒนาเมือง ตลอด  6 เดือนที่ผ่านมาเราเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยสิ้นเชิง เดิมการทำงานบูรณาการเป็นเรื่องยาก จึงเปลี่ยนการทำงานเอาคนเป็นตัวตั้ง และเอาทีมมาสนับสนุนการดำเนินการ  สำหรับภารกิจซึ่งในส่วนที่ดูแล คือ เรื่องของสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เรื่องของการเรียนรู้ และเรื่องของเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เรื่องสวัสดิการขั้นพื้นฐาน โดยทำให้ทุกคนมีสวัสดิการเท่าเทียมที่รัฐจัดการให้ โจทย์คือทำยังไงให้ทุกคนเข้าถึงอย่างถ้วนหน้า เมื่อคนกทม.ไม่ได้เริ่มจากฐานที่เท่ากัน การดำเนินการแบ่งตามกลุ่มเป้าหมายเป็น สวัสดิการทั่วถึงสำหรับเด็ก โดยเพิ่มค่าอาหาร เดิม 20 บ. เป็น 32 บ. และอุปกรณ์ศูนย์เด็กเล็ก เดิม 100 บ. เป็น 600 บ. อาหารเช้า/กลางวันฟรี ชุดนักเรียนฟรี ผ้าอนามัยฟรี และลดการใส่เครื่องแบบ ด้านสวัสดิการคนไร้บ้าน ดำเนินการจัดจุด drop-in 4 จุด เพื่อให้บริการ ตัดผม ซัก อบ อาบ ตรวจสอบสิทธิ สวัสดิการ ตรวจสุขภาพ ลงทะเบียนจ้างงาน ดำเนินการจัดระเบียบการแจกอาหาร และดำเนินการจัดที่อยู่อาศัย ทั้งแบบอยู่อาศัยระยะยาว และแบบอยู่อาศัยชั่วคราว (บ้านพักคนละครึ่ง)

ด้านสวัสดิการคนไร้บ้าน ประกอบด้วย จ้างงานคนพิการ 323 คน พัฒนาระบบ LIVE CHAT AGENT โรงเรียนเรียนร่วม 158 โรงเรียน  นำร่องอบรมครูเรียนรวม 2 โรงเรียน การเปิด LINE OA กรุงเทพเพื่อทุกคน : ฐานข้อมูล และสิทธิประโยชน์สำหรับคนพิการ ให้บริการรถรับส่งคนพิการโดยกรุงเทพธนาคม การจัดให้มีอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ประจำชุมชน 266 คน จาก 31 เขต เพื่อทำให้ข้อต่อต่างๆ มีความเข้มแข็งขึ้น โครงการ Food Bank เพื่อส่งต่ออาหารส่วนเกินสู่กลุ่มคนเปราะบาง 10 เขตพื้นที่นำร่อง การส่งเสริมอาชีพโดยสร้างแรงงานตอบโจทย์ตลาดแรงงาน และสร้างผู้ประกอบการ

ด้านการเรียนรู้ แบ่งเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน ได้ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คัดกรองเด็กยากจนพิเศษเพื่อขอรับทุนการศึกษา 6,159 คน ปลดล็อกครูโดยเพิ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการและการเงินโรงเรียนเพื่อลดภาระงานเอกสารครู และปรับเกณฑ์การเลื่อนวิทยฐานะให้เป็นมาตรฐานสากล ด้าน Open Education เปิดโรงเรียนสู่การเรียนรู้ในวิชาที่นักเรียนสนใจ อาทิ เปิดสอน Coding การตัดต่อวิดีโอ ดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง E-Sport ด้านการกำหนดพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (Education Sandbox) 54 โรงเรียน เพื่อเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนทั้งโรงเรียน และพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษา เช่าระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทุกโรงเรียนในรอบ 7 ปี

สำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียน ประกอบด้วย ห้องสมุด 34 แห่ง บ้านหนังสือ 140 แห่ง ลานกีฬา 970 แห่ง ศูนย์กีฬา 12 แห่ง พิพิธภัณฑ์เด็ก 2 แห่ง พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 24 แห่ง ศูนย์เยาวชน 35 แห่ง และสวนสาธารณะ 103 แห่ง เป็นพื้นที่มากมาย ซึ่งกรุงเทพมหานครได้จัดกิจกรรมเติมชีวิตให้พื้นที่เหล่านี้โดยจัดกิจกรรมมากกว่า 200 ครั้ง ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 500,000 คน

เศรษฐกิจสร้างสรรค์ กทม.ได้ดำเนินการมากมาย อาทิ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยเริ่มเพิ่มช่องทาง Online ให้ 93 ร้าน สร้างยอดขายกว่า 1.85 ล้านบาท และการส่งเสริมกิจกรรม Offline ตลาดชุมชน พื้นที่ออกร้านตามกิจกรรมและเทศกาลต่างๆ

ส่วนกิจกรรมย่านสร้างสรรค์ตามอัตลักษณ์และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ดำเนินการต่อเนื่อง ประกอบด้วย กลุ่มย่านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ย่านพาณิชยกรรมสร้างสรรค์ และย่านชุมชนและวิถีชีวิตสร้างสรรค์ ซึ่งเรื่องของเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างซึ่งต้องอาศัยคณะทำงานที่เข้าใจปัญหาจริงจัง ซึ่งได้แต่งตั้งแล้ว 27 คณะ สำหรับทิศทางการทำงานในปี 66 จะมีการดำเนินการเกี่ยวกับสภาเมืองคนรุ่นใหม่ งานพัฒนาที่อยู่อาศัย MIB (Made in Bangkok) City Lab แพลตฟอร์มจองพื้นที่สาธารณะ และ Sandbox ในส่วนของโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก และหลักสูตรการฝึกอาชีพ เป็นต้น

คณะผู้บริหาร กทม. ยังได้ร่วมกันตอบคำถามสื่อมวลชน ในประเด็นเกี่ยวกับแนวโน้มการทุจริตคอร์รัปชันของกทม. ว่า ความตั้งใจของ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่จะทำให้กทม. ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน คือหากหัวหน้า (ผู้ว่าฯกทม.) ไม่ทำ ระดับปฏิบัติก็จะไม่มีด้วย ซึ่งมั่นใจว่าเรื่องทุจริตจะลดน้อยลง เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่มีการแข่งขันมากขึ้นจะโปร่งใส การลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆ จะช่วยลดได้ด้วย Open Data ก็เป็นอีกเรื่องที่ประชาชนจะสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ สำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ถึงแม้จะมีการศึกษาไว้แล้วแต่ประชาชนควรมีส่วนรับรู้และแสดงความคิดเห็น

สำหรับเรื่องของกรุงเทพธนาคม ขณะนี้ กทม.พยายามเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ให้อยู่ในมาตรฐาน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องชัดเจนและไม่ใช่ช่องทางพิเศษ ในส่วนของการบริหารจัดการค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต้องรอการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน

ขณะที่ประเด็นเรื่องของการจัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการเรื่องของการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้ายให้มีประสิทธิภาพและรัดกุมมากมาย ซึ่งเรื่องการหารายได้มีทั้งเรื่องที่อยู่ในข้อบัญญัติและไม่ได้อยู่ในข้อบัญญัติที่ต้องดำเนินการ อาทิ เรื่องการบำบัดน้ำเสียซึ่งจะเริ่มในกลุ่มสถานประกอบการก่อน การหารายได้จากผู้ก่อมลพิษหรือบุหรี่ อย่างไรก็ดีกรุงเทพมหานครได้ตั้งเป้าการจัดเก็บภาษีไว้ที่ 79,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้จัดเก็บได้เกินเป้า คือกว่า 80,000 ล้านบาท ซึ่งต้องพยายามให้สำนักงานเขตจัดทำฐานภาษีตามกฎหมายใหม่ให้ได้ตามเป้า 100%

ทั้งนี้นอกจากการหารายได้แล้วต้องคำนึงถึงเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เหลือวงเงินงบประมาณไปใช้ในเรื่องที่กรุงเทพมหานครไม่เคยทำมาก่อน อาทิ การดำเนินงานเพื่อกลุ่มเปราะบาง การนำ OKRs มาใช้ อาทิ ทำระบบดิจิทัลกลางของกทม. ทำให้เกิดเป็น Risk Map สามารถประหยัดงบประมาณของกทม.ได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิ่งที่จะทำให้ลดรายจ่ายได้คือการประสานยุทธศาสตร์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ การจัดกิจกรรมร่วมกัน จะทำให้ลดรายจ่ายได้จำนวนมาก

ภาพจาก : กรุงเทพมหานคร

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า