ดร.สายประสิทธิ์ ยืนยันคำนวณความเร็วรถ บอส วรยุทธ์ ตามหลักวิชาการ ผลไม่เกิน 80 กม.

นายสายประสิทธิ์ ชี้แจงว่า กรณีไฟล์คลิปวงจรปิดตนได้รับมาจากผู้ประสานงานช่วงระหว่างการทำงาน และหลังจากนั้นก็ได้ไฟล์จริงมา ได้นำมาตรวจสอบนาฬิกาตามภาพที่บันทึกว่าเคลื่อนที่ไปเท่าไรและได้ใช้หลักการทางวิชาการวิเคราะห์ภาพว่าเคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว ส่วนการคำนวณอยู่บนสมมติฐาน

“ผมไม่ได้คำนวณผิด ผมคูณเลขถูก วิชาการผมถูก แต่อยู่บนสมมติฐานของผม ในการพิจารณาในระยะเวลากรอบที่ทำงาน และตั้งใจในการทำงานทุกครั้งในรายงาน”

พ.ต.ต.ชวลิต ถามว่าทราบหรือไม่ว่า การที่เล็งภาพตรงมุมหน้าขวาของรถกับจุดอ้างอิง เมื่อรถเคลื่อนถึงไปถึงด้านหลังซ้าย ระยะทางในการเคลื่้อนที่จะมากกว่าความยาวเส้นทแยงมุมของรถมาก

นายสายประสิทธิ์ ตอบว่า โดยหลักทางวิชาการแล้ว ภาพที่เห็นเป็นมุมเฉียง ตนจึงสร้างสมมติฐานว่า รถเคลื่อนที่ซึ่งวิธีการคำนวณความเร็ว ใช้ระยะทางหารด้วยเวลาตามปกติ เมื่อภาพที่ได้เป็นลักษณะนี้และเกิดขึ้นหลายปี สมมติฐานของตนจึงกำหนดรถเคลื่อนที่จากมุมหน้าขวาไปหลังซ้ายในกรอบที่ชัดเจน ถามว่ามันเคลื่อนที่เร็วไหม เคลื่อนที่เร็ว ซึ่งนี่เป็นข้อมูลที่ได้มาขณะนั้น

“แต่ถามว่ามีคนคิดทฤษฎีใหม่ว่า อาจารย์ต้องคำนวณอันนี้ แต่ที่ระยะนั้นมันคือระยะที่ยาวกว่าการเคลื่อนที่ตามปกติอยู่แล้วจากเส้นทแยงมุม ในมุมมองสมมติผม แต่เมื่อมีทฤษฎีใหม่ ที่เขาคำนวณเรื่องมุมกล้อง ก็สามารถเอามาใช้ทฤษฎีใหม่ได้ แต่ผมยืนยันว่าความเร็วภาพ แม้ว่าที่ผมคำนวณมาก็ไม่ได้ยืนยันความเร็วที่เกิดขึ้นจริง มันอยู่บนสมมติฐานทั้งนั้น และความเร็วในการฉายภาพ 25 เฟรมต่อวินาที ก็ไม่ได้ยืนยันความเร็วที่แท้จริง”

“ในอุตสาหกรรมยานยนต์การหาถุงลมนิรภัยกระแทกที่หน้าที่รถขณะเคลื่อนที่ชน เขาจะใช้กล้องความเร็วสุงประมาณ 500 เฟรมต่อวินาที แต่ในการคำนวณ อันนี้มัน 25เฟรม เพราะฉะนั้นสมมติฐาน วิธีการของผม ผมก็ทำตามหลักการและผมทวนสอบในกรณีของคณะทำงาน เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีหลักการหมด แล้วจะใช้หรือไม่ใช้ก็อยู่ในดุลพินิจ ผมก็ทำตามหลักการที่พิจารณาครับ”

อีกช่วงหนึ่งนายสิระ เจนจาคะ สอบถามถึงเรื่องใบอนุญาตเพื่อประกอบอาชีพวิศวกรที่มีข่าวว่าหมดอายุ นายสายประสิทธิ์ ชี้แจงว่า ตนไปให้ข้อมูลในคดีนี้ทำในนามของมหาวิทยาลัยในฐานะอาจารย์ที่ได้รับมอบหมายจากอธิการบดี ไม่ใช่ในฐานะวิศวกร ส่วนที่ตนไม่ได้ไปต่อใบอนุญาตเพราะอาชีพอาจารย์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้