SHARE

คัดลอกแล้ว

เมื่อพูดถึงถนนข้าวสาร ก็คงเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าถ้ามาเมืองไทยต้องไปให้ได้ เพราะเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิง บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ที่บรรดานักท่องเที่ยวที่ต้องการมาผ่อนคลายและหาความสุข

แต่ถนนข้าวสารในวันนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จากที่เคยมีปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์แต่ในวันนี้ยอดเป็นศูนย์ จนทำให้ผู้ประกอบการทั้งผับ ร้านอาหาร โรงแรม และเกสต์เฮ้าส์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนถนนข้าวสารต้องปิดลงชั่วคราว

หนึ่งในนั้นก็คือ บริคบาร์’ สถานบันเทิงที่หลายๆ คนคุ้นหู ที่เปิดกิจการยาวนานมากว่า 14 ปี ก็ต้องปิดตัวลงชั่วคราวเช่นกัน

“ผมเข้าใจนะที่ภาครัฐบอกว่าการ์ดอย่าตกๆ แต่จะให้ผมตั้งการ์ด 365 วันเลยเหรอ คนที่อยู่ในสถานบันเทิงเป็นแสนคน ตอนนี้ทุกคนกระสุนหมดต้องบอกอย่างนี้เลย”  นายสง่า เรืองวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บัดดี้ กรุ๊ป จำกัด พ่วงด้วยตำแหน่งนายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร พูดถึงวงการสถานบันเทิง ที่ถูกจัดอยู่ในการคลายล็อกดาวน์เฟส 5 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายในการปลดล็อก จึงส่งผลทำให้คนที่อยู่ในวงการนี้ขาดรายได้ไปมากพอสมควร

เครือบัดดี้กรุ๊ป ปิด 3 เดือน รายได้หายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

กระทบหนักเลย เพราะเราอยู่ที่ถนนข้าวสารด้วย เริ่มแรกก็คือส่วนของโรงแรม ร้านอาหาร ซึ่งภาครัฐก็ให้ปิด แล้วก็ส่วนในเรื่องของเอนเตอร์เทนเมนท์ทั้งหมด ซึ่งธุรกิจเราก็ปิดทั้งหมดเลย เหลือแค่โรงแรมที่ปากเกร็ด ที่ยังเปิดกิจการอยู่ นอกจากนั้นปิดทั้งหมดมาประมาณ 3 เดือน รายได้ที่หายไปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ คือเหลืออยู่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ อย่างร้านอาหารในเครือเทียบเท่าก่อนช่วงโควิด-19 ก็เหลืออยู่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าหนักมากครับ ต้องบอกอย่างนี้ เราก็ยังคาดว่าหวังว่าถึงสิ้นปีนี้ยอดขายเราอาจจะกลับมาสัก 40-50 เปอร์เซ็นต์ก็เก่งแล้ว

วิกฤติโควิด-19 เจ็บหนัก ธุรกิจล้มเป็นโดมิโน

นี่ถือเป็นครั้งแรกเลย แต่ว่าเราเข้าใจ เพราะว่ามันคือทั่วโลก มันไม่ใช่แค่เรา แล้วมันไม่ใช่แค่ธุรกิจของเรา มันคือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหมอนวดก็โดน คนขายล็อตเตอรี่ก็โดน คือมันเป็นโดมิโนหมดเลย ซึ่งเราเข้าใจ แล้วก็ต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้มันอยู๋่ได้และอยู่ยาวที่สุด แหล่งเงินของรัฐบาลที่พยายามจะเข้ามาช่วย ผมบอกเลยว่าเครือบัดดี้กรุ๊ปเราเองเข้าถึง แต่ยังมีธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์หลายๆ ที่ ที่เข้าไม่ถึง อันนี้เราก็พยายามฝากให้ภาครัฐเข้ามาดูแล เพราะว่าทุกคนกระสุนหมดต้องบอกอย่างนี้เลย แล้วบางคนยังต้องช่วยเหลือพนักงานต้องเห็นใจเขา แล้วพนักงานต้องเข้าใจว่า เขาจะไม่มีรายได้เลย นักดนตรีหรือหมอนวดที่เป็นอาชีพอิสระ ซึ่งเขาไม่มีรายได้ เขาจะได้แค่ 5 พันบาท ต่อเดือนแค่ 3 เดือน เพราะฉะนั้นภาครัฐ ต้องเข้าไปเยียวยาคนกลุ่มนี้

บัดดี้กรุ๊ปปรับโมเดลธุรกิจ  ใช้แผน cross marketing  สู้วิกฤติ

ในเครือบัดดี้กรุ๊ปของเรา เราแพลนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีที่แล้วเราเห็นแล้วว่าธุรกิจไม่ดี เรารู้เราเลยพยายามคุยกับพนักงาน สื่อสารออกไปว่าทุกคนอย่าพยายามเป็นหนี้เป็นสินนะให้ระมัดระวัง ปีหน้าอันตรายมาก คือเราคุยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว พอมาปีนี้เรามาเจอวิกฤติแบบนี้อย่างน้อยเราได้เตรียมตัวระดับหนึ่งแล้ว  ส่วนในเรื่องของผับเรามีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ตัวเลขของปีที่แล้วเราเห็นแล้วว่ามันลดลง ทีนี้พอมันลดลง มันมีนัยยะเรื่องกำลังซื้ออยู่แล้ว เพราะเราเห็นตัวเลขทุกที เช่น 1.โรงแรมเราก็เห็นแล้วว่าไม่มีบุ๊คกิ้ง เราก็มองปัญหาว่าอาจจะเป็นเรื่อง Over Supply 2.นักท่องเที่ยวไม่มาเพราะภาพรวมเศรษฐกิจโลก เพราะฉะนั้นเราถึงได้เตรียมตัวตั้งแต่ปีที่แล้ว อะไรที่เราเซฟได้เราก็จะเซฟ อันไหนที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนเราก็ไม่ลงทุน เรามีการเตรียมความพร้อม แต่พอมาเจออย่างนี้มันแรงกว่าที่เราคิด มันหนักกว่าต้องบอกอย่างนี้ แล้วพอปิดแรกๆ เราก็ไม่มีรายได้ เราเลยจัดให้นักดนตรีมาเล่นออนไลน์ เพื่อบอกว่าบริคบาร์ยังอยู่นะ เราพยายามทำสื่อออนไลน์ให้ลูกค้าได้เห็นและเป็นการสื่อสารกับลูกค้าเท่านั้นเอง และวันที่เราเปิดก็หวังว่าลูกค้าจะกลับมา

ในส่วนที่เป็นที่ของเราเองไม่มีปัญหา ถ้าเป็นที่ที่เราเช่า เราก็ขอลดค่าเช่าลง แล้วตอนนี้เราก็พยายามเอาพนักงานหมุนเวียนกันเอง ร้านนี้ไม่มีคนโยกไปอยู่ร้านที่มีคน แล้วก็ดูธุรกิจ แล้วค่อยๆ pick up ขึ้นมา แต่อย่างที่ผมบอกเราพยายามทำการตลาดให้มากขึ้น เราหวังว่าหลังจากที่เราทำการตลาดแล้ว กลุ่มคนไทยที่เราคาดหวังว่าจะมาเที่ยวข้าวสาร เราจะพยายามทำให้เขาเข้ามาเยอะที่สุด เราทำ cross marketing คุณมากินอาหารร้านผม ผมให้คุณพักที่โรงแรมผมฟรีเลย พอไปพักที่โรงแรมมันก็จะมีการใช้จ่ายขึ้นมา อย่างน้อยก็ทานข้าวอะไรอย่างนี้ เราถือว่าเราโชคดีเพราะเรามีธุรกิจหลากหลาย ซึ่งจริงๆ แล้วปีนี้เราสำรองเงินไว้ค่อนข้างเยอะ เราสำรองไว้ประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อจะนำไปพัฒนาและขยายสาขา เงิน 40 ล้านเราเชื่อว่าปีนี้หมดแน่นอน ไม่เหลือเลยเพราะฉะนั้นเราก็ยังขยายไม่ได้ ก็นำมาพยุงไปก่อนในปีนี้ ไม่อย่างนั้นเราอยู่ไม่รอด

1 ก.ค. ดีเดย์เปิดผับวันแรก “เร็วกว่าที่คิด”

ก็รู้สึกดีใจ พนักงานก็ดีใจที่อย่างน้อยเขาได้กลับมาทำงาน คือสิ่งที่เรากังวลอยู่ก็คือ ภาครัฐมีการจำกัดมา 22 ข้อ ซึ่งบางข้อก็ทำได้ยาก แต่เราก็พยายามจะสนองนโยบายของภาครัฐให้ได้เพราะเราต้องการเปิด ธุรกิจต้องรัน พนักงานต้องมีรายได้ เพราะช่วงที่ผมไปประชุมกับ ศบค. ผมก็บอกเขาว่า ถ้าคุณไม่เปิดคุณต้องมีมาตรการเยียวยาชัดเจนว่าจะช่วยเหลืออย่างไร เพราะพนักงานจะไม่มีรายได้แล้ว ประกันสังคมจ่ายแค่ 3 เดือน และคุณมีข้อมูลทั้งหมดอยู่แล้วว่าใครคือธุรกิจภาคกลางคืน นั่นคือสิ่งที่ผมไปคุยกับ ศบค.ชุดเล็ก เขาก็คงไปคิดแล้ว ถึงมีวันนี้ที่เปิดได้แล้ว ซึ่งเราก็ดีใจที่ได้เปิด แล้วเราก็ต้องทำเต็มที่ไม่ให้มีการแพร่ระบาด แล้วเราก็จะทำเต็มที่ให้มันมีรายได้กลับมา ซึ่งถือว่ามันเปิดได้เร็วกว่าที่คิดที่จริงๆ เพราะว่าคาดไว้ว่าจะสามารถเปิดได้ประมาณ 1 ส.ค. เพราะข่าวก็บอกว่าจะเปิดโรงเรียนก่อน แต่คนสถานบันเทิงก็บอกว่าจะเอาเงินที่ไหนไปส่งให้ลูกเรียน มันก็เลยเป็นช้อมูลที่เขาเอาไปพิจารณาใหม่ แล้วก็ให้เราเปิดพร้อมกัน

เปลี่ยนบริคบาร์ เป็นผับ New normal ให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัย

 เรามีอุโมงค์พ่นฆ่าเชื้อ วัดอุณหภูมิ มีเจลแอลกฮอล์บริการ ก่อนเข้าต้องสแกนแอปฯ ไทยชนะ มีการเว้นระยะห่าง มีฉากกั้น พนักงานต้องใส่หน้ากากอนามัยและเฟซชิลด์ หนึ่งโต๊ะนั่งได้ไม่เกิน 5 คน มีการจำกัดพื้นที่ตามขนาดไม่เกิน 200 คน จากเดิมวันศุกร์-เสาร์เกือบ 1,500 คน และมีกล้องวงจรปิดติดทั่วร้าน ซึ่งเราพยายามทำตามนโยบายของรัฐอย่างเต็มที่ ซึ่งผมยังไม่เชื่อนะว่ามันจะเป็น New normal มันจะเป็นแบบนี้ชั่วคราว และมันจะกลับไปเป็น Old normal เหมือนวันที่เราไม่มีการแพร่ระบาด

ถ้าตามนโยบายรัฐจริงๆ 22 ข้อ มีหลายข้อเลยที่เป็นไปได้ยาก ห้ามร้องเพลงและเต้น ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ คือผมเข้าใจคณะกรรมการที่เขียนบริบทนี้ ว่าเขาต้องเขียนเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ในแง่ของคนเที่ยวมันเป็นไปไม่ได้ เพราะพฤติกรรมของคนมันไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องห้ามเปิดขวดต้องเป็นแก้วเท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมมันก็ไม่ใช่ เบียร์มันก็เริ่มจากขวดแล้วมารินทีละแก้ว เหล้าก็เหมือนกัน ซึ่งมันแทบจะทำไม่ได้ ผมก็มองว่ามันขัดแย้งกันอยู่ หรือข้อที่ห้ามมีพีอาร์ไปนั่งกับลูกค้า อาจจะหมายถึงร้านคาราโอเกะหรือค็อกเทลเลาจน์ ซึ่งเขียนมาอย่างนี้เขาก็เปิดไม่ได้เพราะมันเป็นธุรกิจของเขา อย่างไรก็แล้วแต่อย่างที่ผมบอกมันควรจะมีข้อบ่งชี้ให้ชัดเจน จะ 60 วันหรือ 90 วันอะไรก็ได้ แล้วให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเถอะ

ดึงความสุขของลูกค้ากลับมา ในวันที่การเที่ยวผับเปลี่ยนไป

แน่นอนเขามาสังสรรค์ มาเจอเพื่อน มาฟังดนตรี มาระบายความเครียด หรือต้องการความสนุก บางครั้งคนอกหักก็มา วันเกิดก็มา ดีใจก็มา มันคือการผสมผสานความรู้สึกที่แตกต่าง ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่คนได้ออกมาปลดปล่อย แล้วก็กลับไปเริ่มใหม่ แต่แน่นอนครับวันนี้มันไม่เหมือนเดิม แต่ผมเชื่อว่าความรู้สึกของคนที่อยากมา ก็ยังอยากจะมา อย่างน้อยการดื่มเหล้าที่บ้านกับดื่มข้างนอกบ้านความรู้สึกมันก็ต่างกัน ดื่มคนเดียวกับดื่มกับเพื่อนก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าด้วยบรรยากาศมันยังทำให้คนสนุก เราก็เน้นพนักงานให้ดูแลลูกค้าให้ดี นักดนตรีเล่นให้สนุก คนจะได้ผ่อนคลาย

ผมว่าหลังจากเราเปิดวันแรกแล้วเราก็ต้องเก็บเสียงตอบรับจากลูกค้า นำปัญหากลับไปหาทางแก้ไข เช่นฉากกั้นวันนี้อาจจะยังดูไม่สวย จะทำยังไงให้ดูสวยขึ้น ต้องสังเกตลูกค้าว่าโอเคไหม ซึ่งผมเชื่อว่าหลังจากเปิดแล้วก็ต้องมีการพูดคุยกันในออนไลน์ เราก็ต้องไปเก็บตรงนั้นนำมาปรับด้วย

อย่างที่ผมบอกว่า มันต้องมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ ผมเข้าใจนะที่ภาครัฐบอกว่ากราดอย่าตกๆ แต่จะให้ผมตั้งกราด 365 วันเลยเหรอ มันไม่เมื่อยเหรอตั้งอย่างนี้ มันเป็นปกติของคน คืออย่างทำอะไรที่มันผิดแปลกจากธรรมชาติ ธรรมชาติให้อะไรมา ถึงเวลาต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ บางเรื่องอย่างไอที เทคโนโลยีเราก็ตามไปได้ แต่อะไรที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกมันต้องกลับมาเป็นปกติ

 มองการณ์ไกล ปรับแผนใหม่ ให้คนไทยเที่ยวถนนข้าวสารมากขึ้น

ผมเชื่อว่าโควิด-19 มันจะยังไม่หายไป แต่ผมเชื่อว่ามันจะมียารักษา  สมมติเราติดเชื้อก็ฉีดยารักษาหายเหมือนโรคทั่วไป แล้วกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ผมเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วผับถามว่าเปิดแล้วคุ้มไหม ผมเชื่อว่ามันไม่คุ้ม แต่เราต้องเปิดเพื่อให้พนักงานมีรายได้ เพราะรายได้พนักงานส่วนหนึ่งก็มาจากทิปลูกค้า อย่างน้อยเขาได้เงินเดือนแล้วยังมีเซอร์วิสชาร์จ เขาก็อยู่ได้ ทุกคนก็ดีใจที่กลับมาเปิด ซึ่งตัวผมเองไม่ได้สนใจเรื่องผับกลับมาเปิดเท่าไหร่ แต่ผมสนใจว่าเมื่อไหร่คนจะได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ เมื่อปกติแล้วเขาจะกลับมาเที่ยวเอง

นอกจากนี้ผมก็เป็นนายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร ซึ่งผมก็วางแผนว่าจะต้องปรับถนนข้าวสารใหม่ ให้เป็นคนไทยมากขึ้น ผมปรับแน่นอน ผมจะทำให้ถนนข้าวสารเป็นถนนที่คนไทยอยากมา เพราะเมื่อก่อน 80 เปอร์เซ็นต์เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถ้าเป็นวันเสาร์ก็จะ 60/40 เปอร์เซ็นต์คนไทยก็จะมาเยอะหน่อย เพราะถ้าในอนาคตเกิดวิกฤติแบบนี้อีก เราก็ยังมีคนไทย แล้ววันที่ต่างชาติเข้ามาก็จะเป็นอีกมิติหนึ่งของข้าวสาร

หลังที่มีการคลายล็อกดาวน์เฟส 5 และธุรกิจสถานบันเทิงสามารถเปิดบริการได้ (1 ก.ค.) นักท่องเที่ยวหลายคนก็ตั้งใจมาเที่ยวแบบ New normal เพราะคิดถึงบรรยากาศและอยากรูู้ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่หลายเสียงก็ยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกว่าขาดอรรถรสในการเที่ยวมาก เพราะเคยชินกับการ New normal มาบ้างแล้ว

นายกิตติภูมิ โตชัยภูมิ เผยว่า ปกติเที่ยวบริคบาร์อยู่แล้ว เที่ยวมานานมากประมาณ 9 ปี คือรู้สึกผูกพันเหมือนครอบครัว พอเห็นข่าวว่าเปิดวันแรกก็รีบจองโต๊ะเลย ตั้งใจเลยว่าเปิดวันแรกต้องมา คือที่นี่เปรียบเสมือนบ้าน เพราะเราได้มาเจอเพื่อนต่างมหาวิทยาลัย ต่างสายงานอาชีพ เราก็คิดว่าเปิดวันแรกทุกคนต้องมาแน่เลย แล้วพอมาก็คือเห็นทุกคนเลย ช่วงที่บริคบาร์ปิดไป 3 เดือนคิดถึงมาก ดูไลฟ์สดก็คิดถึงบรรยากาศ เพราะปกติเวลาเรามาเพราะเหมือนศูนย์กลางในการรวมเพื่อน เลยมีความผูกพันเป็นพิเศษ แต่ในวันนี้ก็เห็นว่ามีฉากกั้น มีการเว้นระยะห่างของโต๊ะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไรเพราะฉากกั้นก็เป็นแผ่นพลาสติกสีขาว แล้วเราก็อยู่ในที่มืดอยู่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด ถึงเรามาเที่ยวเราก็ต้องรักษามาตรการและมาตรฐานของภาครัฐ ทางร้านก็มีมาตรการต่างๆ เราก็มั่นใจว่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง ซึ่งเราก็เข้าใจว่ามันเป็นการเที่ยวแบบ New normal ซึ่งเราต้องรักษาระยะห่าง ถึงจะมีระยะห่างแต่ระยะใจเราไม่ห่าง

ด้าน คุณภูชิตา โตแก้ว เผยว่า เมื่อก่อนเราก็มาอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง บริคบาร์ปิดไป 3 เดือนเราก็รู้สึกโอ้โห ไม่ได้แดนซ์เลย แต่เราก็เข้าใจสถานการณ์ ก็พยายามปรับตัว วันนี้เปิดวันแรกน้องโทรบอกว่ามาบริคบาร์มาไหมก็คือตื่นเต้นมาก อยากรู้ว่ามันจะต้องเป็นยังไง เปลี่ยนไปไหม เราต้องทำตัวยังไง ต้องใส่หน้ากากอนามัยไหม แต่เราก็พอทราบนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเป็นการเที่ยวแบบ New normal มาเห็นวันนี้มันก็โล่งๆ ดีนะ มันก็ผิดบรรยากาศเดิมเพราะว่าบริคบาร์ปกติไม่ใช่แบบนี้ เพราะคนจะเยอะๆ มาเต้นกัน มันก็แอบมีนิดนึงที่รู้สึกว่ามันเอ็นจอยน้อยลง แต่จุดประสงค์ของเราคือมาฟังเพลง มาเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอนาน ความรู้สึกนั้นมันยังอยู่ แล้วก็ด้วยความที่เราชินกับพวกฉากกั้น เพราะก่อนหน้านี้ร้านข้าวที่เราไปกินก็มีเหมือนกัน เพียงแค่อาจจะรู้สึกแปลกใหม่ในเรื่องของผับที่เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้เฉยๆ มันก็ไม่ได้เฟลไปเลย มันแค่นิดหน่อย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า