ฝ่ายค้านขอตัดงบกลาโหม เรือดำน้ำปักเลน-เกณฑ์ทหารไปรับใช้ แต่โหวตแพ้รัฐบาล

วันที่ 8 ม.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งมีทั้งหมด 55 มาตรา โดยพิจารณาวาระ 2 และลงมติรายมาตรา
.
เวลา 20.38 น. เข้าสู่การพิจารณา มาตรา 8 งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในกำกับ วงเงิน 125.9 แสนล้านบาท มีคณะกรรมาธิการสงวนความเห็น 5 คน และมี ส.ส. ขอแปรญัตติ 95 คน

นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ กรรมาธิการจากพรรคอนาคตใหม่ อภิปรายว่า เรื่องการซื้อเรือดำน้ำจากจีน จะเกิดงบผูกพัน 2 ปี ถึง 22,500 ล้านบาท เหตุผลที่ไม่ควรซื้อคือ ถ้าซื้อจากประเทศพัฒนาแล้วไม่มีค่าต๋ง, มีรุ่นที่ดีกว่านี้ และอ่าวไทยตื้น ความลึกเฉลี่ย 40-50 เมตร ขณะที่ระยะปลอดภัยอยู่ที่ระดับความลึก 60 เมตร ตนได้นำพระราชดำรัส ในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องเรือดำน้ำ สอบถามผู้มาชี้แจงจากกองทัพเรือ ซึ่งตอบว่ารับใส่เกล้าใส่กระหม่อม และไม่มีอะไรจะชี้แจง ตนจึงเห็นว่า ต้องตัดงบส่วนนี้ออก ไม่เอาเรือดำน้ำไปปักเลน

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมาธิการจากพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ตนเสนอตัดงบ 15% ซึ่งกระทรวงกลาโหมมีการก่องบผูกพันถึง 63,720 ล้านบาท คิดเป็น 27% ของงบกระทรวง ในชั้นกรรมาธิการถูกตัดออกไปน้อยมากเพียง 1,190 ล้านบาท ในส่วนรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายเพียง 57% กองทัพบกตั้งงบ โครงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพบก เบิกจ่ายเพียง 41.9% การตั้งงบแล้วไม่ใช้ทำให้ต้องกู้เงินและเสียดอกเบี้ย เท่าเสียค่าโง่ไป 306 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้มีการโอนงบอำพราง โยกงบผลิตกระสุนปืน ไปซ่อมบ้านพัก งบซื้อเฮลิคอปเตอร์บรรเทาสาธารณภัย 170 ล้านบาท โยกไปซื้อยานเกราะล้อยางแทน และยังมีเรื่องเงินที่ได้นอกงบประมาณมากมาย เช่น เงินจากโรงพยาบาลของกองทัพ สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 สนามม้า สนามมวยลุมพินี แต่กลับไม่ได้นำกลับเข้ามาใช้ ซึ่งส่วนนี้ถึงไม่มีกฎหมายไม่ต้องส่งคืนคลังแต่ก็ควรแสดงเพื่อความโปร่งใส

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร กรรมาธิการจากพรรคอนาคตใหม่ อภิปราย งบประมาณเกณฑ์ทหาร โดยระบุว่า แต่ละปี มีทหารเกณฑ์ 1 แสนนาย เพื่อให้มีทหารกองประจำการ ประมาณ 1.2 แสนนาย แต่ภารกิจของทหารเกณฑ์บางส่วนกลับไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่ภารกิจหลัก และไปเป็นพลทหารรับใช้ให้นายพล รวมถึงระดับพันตรี ถ้าคำนวณจากจำนวนนี้ เท่ากับต้องเสียพลทหารไป เป็นพลทหารบริการ 25,000 นาย ดังนั้น ตนจะขอปรับลดงบประมาณส่วนนี้ ซึ่งจะลดลงไปได้ 3.1 พันล้านบาท

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กรรมาธิการจากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนขอปรับลดงบภาพรวม 15% ทั้งนี้ในส่วนงบของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 926 ล้านบาท ไม่เคยได้ยินว่าผลิตยุทโธปกรณ์อะไรที่เป็นรูปธรรม ซึ่งปัจจุบันภาคเอกชนไทยผลิตรถถังขายได้ แต่ภาครัฐไม่ได้สนับสนุน  อุตสาหกรรมป้องกันประเทศควรให้มีการแข่งขันอย่างเสรี เพื่อให้ซื้อสินค้าที่ผลิตโดยคนไทยเงินหมุนเวียนภายในประเทศได้ ก่อนเป็น ส.ส.ตนเคยทำงานในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าถ้าเราสนับสนุนภาคเอกชนไทยแข่งขันได้

นอกจากนั้นยังมี ส.ส.อีกจำนวนมาก ที่เห็นว่าควรลดงบไปใช้กับส่วนอื่น เช่น นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ปรับลดงบกลาโหม นำไปเป็นงบประมาณการศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนครู, นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เสนอให้นำงบไปช่วยเกษตรกร

ด้านนายสันติ กีระนันท์ กรรมาธิการจากพรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงเรืองเรือดำน้ำว่า ลักษณะพื้นที่ใต้น้ำฝั่งอ่าวไทยความลึกเฉลี่ย 50 เมตรก็จริงแต่เป็นการเฉลี่ย หากดูส่วนที่ลึกสุดก่อนถึงน่านน้ำสากลลึก 85 เมตร ระยะมองจากอากาศถึงน้ำพ้น 16 เมตรก็ไม่ถูกสังเกตเห็นแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมุดโคลนมุดเลน และสหรัฐอเมริกาก็เคยนำเรือดำน้ำมาซ้อมรบเก็มาซ้อมได้ ส่วนชายฝั่งอันดามันจะต่างจากอ่าวไทยอยู่แล้ว คือ ชายฝั่งที่หักลึกลงทันที

ขณะที่จำนวนเรือดำน้ำ ต้องมียุทธวิธีอำพรางไม่ให้ข้าศึกรู้ว่าอยู่ที่ใด ดังนั้น ถ้ามีลำเดียวจะถูกข้าศึกจับจุดได้ไม่ยาก จึงต้องมีมากกว่า 1 ลำขึ้นไป ซึ่งกองทัพเรือกำหนดให้มี 3 ลำ ทั้งนี้ ในอาเซียนเพื่อนบ้านต่างก็มีเรือดำน้ำ ประเทศไทยจึงต้องจัดหาให้เพื่อนบ้านเกรงใจ

ขณะที่นายวีระกร คำประกอบ กรรมาธิการจากพรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงเรื่องทหารเกณฑ์และทหารประจำการว่า ตัวเลขที่มีการคำนวณว่าจะต้องไปเป็นทหารบริการ เป็นตัวเลขที่สมมติเอาเอง และตนสอบถามเพื่อนนายพล 5 คน พบมีการซักผ้าเอง หรือจ้างคนใช้ ไม่มีใครที่มีทหารรับใช้ จากการสุ่มตัวอย่างจึงไม่เชื่อข้อมูลที่อภิปราย เอกสารที่นำมาแสดงก็ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้น กรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่จึงไม่เห็นด้วยที่จะตัดงบประมาณส่วนนี้

จนเมื่อเวลา 23.30 น. มีการลงมติ จากผู้เข้าประชุม 453 คน มีเสียงเห็นด้วยรวม 247 เสียง (รวมผู้ไม่มีบัตร) กับงบประมาณที่กรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ปรับลด 124.4 แสนล้านบาท ไม่เห็นด้วย 195 เสียง และ งดออกเสียง 11 เสียง
.
ทั้งนี้เสียงของฝ่ายรัฐบาลขณะนี้มี 259 เสียง ฝ่ายค้าน 240 เสียง