‘เซ็นทารา’ เปิดแผนปี 67 ขยาย 6 โรงแรมในนอกประเทศ เชื่อปัญหา ‘หัวหิน’ เป็นเรื่องชั่วคราว-ยังมีเสน่ห์ดึงดูด เดินหน้ารีโนเวทหลังต่อสัญญาเช่า

อัปเดตสถานการณ์ตลาดโรงแรมปี 2566 ‘ธีรยุทธ จิราธิวัฒน์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา บอกว่า ธุรกิจโรงแรมในปี 2566 ฟื้นตัวดีและเติบโตประมาณ 50% จากปี 2565 แม้นักท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมา 100% แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ โดยดรอปลงเล็กน้อยในไตรมาส 4 ปี 2566 เพราะเหตุการณ์รุนแรงห้างสยามพารากอนและความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาส แต่โรงแรมในดูไบ-ญี่ปุ่น มีผลตอบรับดี

ทำให้สามารถสร้างรายได้รวม 9,932 ล้านบาท เติบโต 52% และกำไรราว 770 ล้านบาทได้ดีกว่าแผนที่วางไว้และสามารถปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้เป็นปีแรกหลังจากโควิด-19 ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) โต 19% มาอยู่ที่ 4,141 บาท ส่วนในปี 2567 คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยจะอยู่ที่ 70-73% และมีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) 4,300 บาท

[ มองภาพปีนี้เน้นรีเทลและค่าห้องพัก ]

ขณะที่สถานการณ์การท่องเที่ยวในปี 2567 ททท. ประเมินจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 35 ล้านคน ดูจาก 2 เดือนแรกเชื่อว่าจะสามารถเป็นไปได้ แต่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่โลว์ซีซั่นแล้ว จึงต้องทำงานต่อไป โดยปัจจัยบวกยังมีวีซ่าฟรีของจีน อินเดีย และรัสเซียที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น

แต่ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวไม่ได้แพลนล่วงหน้านานๆ แต่จองระยะสั้นแทน โดยรายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยเติบโต 15% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 5 ดาวและลักซัวรีที่คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของพอร์ตเซ็นทาราคาเองก็เติบโตดีเช่นกัน

อย่างเช่นโรงแรม เซ็นทารา มิราจ ดูไบ ที่มียอดจองล่วงหน้า 58-59% แล้วสามารถเพอฟอร์มได้ดีตามที่คาดไว้ ส่วนโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า ตั้งเป้าจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 90% และค่าห้องเฉลี่ย 3 หมื่นเยน โดยปีนี้จะเป็นปีแรกที่รับรู้รายได้เต็มปี

“เราตั้งเป้าจะมีอัตราการเข้าพักราว 60%-73% โดยไม่ได้เน้นดันอัตราการเข้าพักสูงมาก เพราะหากอัตราการเข้าพักสูงก็มีผลต่อสภาพของโรงแรม ดังนั้น เราจึงอยากเน้นราคาค่าห้องมากกว่า โดยสาเหตุที่เรารับรู้ราคาค่าห้องเพิ่มขึ้นมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนโรงแรมลักซัวรีที่เพิ่มขึ้น โรงแรมรีโนเวทใหม่ และโรงแรมเปิดใหม่มากขึ้น ขณะที่การขายแบบโฮลเซลล์ยังไม่กลับเข้ามามากนัก รายได้จากเซกเมนท์ 4-5 ดาวและลักซัวรีขึ้นไปจึงชัดเจนกว่า”

เซ็นทารา จึงจะเน้นลูกค้ากลุ่มรีเทลมากขึ้นและปรับอัตราค่าห้องพักแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถขยับอัตราค่าห้องพักเพิ่มได้ 10% โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยปรับเปลี่ยนค่าห้องให้สอดคล้องกับดีมานด์และซัพพลายอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวม JV อยู่ที่ 12,500 ล้านบาท เมื่อรวมกับธุรกิจอาหารในกลุ่ม CENTEL จะมีเป้ารายได้ 29,000 ล้านบาท เติบโต 14-15% 

[ ปี 67 ขยาย 6 แห่ง ไฮไลท์ คือ มัลดีฟส์ ]

แผนการขยายโรงแรมปี 2567 ‘เซ็นทารา’ เตรียมเปิดให้บริการโรงแรม 6 แห่ง แบ่งเป็น 3 แห่งในไทย 2 แห่งในต่างประเทศ และปรับปรุงครั้งใหญ่อีก 2 แห่ง

3 แห่งในไทย ได้แก่ 

– เซ็นทารา ไลฟ์ ละไม รีสอร์ท สมุย

– เซ็นทารา วิลลา เกาะพีพี

– เซ็นทารา ไลฟ์ สุราษฎร์ธานี 

2 แห่งในต่างประเทศ ได้แก่

– โคซี่ เวียงจันทร์ น้ำพุ

– เซ็นทารา พลูมเมอเรีย รีสอร์ท ปากเซ

– เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ (โปรเจ็กต์สำคัญ)

2 แห่งปรับปรุงครั้งใหญ่ ได้แก่

– เซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต (335 ห้อง)

– เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา (553 ห้อง)

‘เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์’ คือ โปรเจ็กต์สำคัญของปีนี้ที่จะเปิดให้บริการในเดือน พ.ย. 2567 เป็นส่วนแรกของเซ็นทาราบนเกาะมาเล อะทอลล์ ห่างสนามบินแค่ 30 นาทีและเป็นโรงแรมธีมมิราจแห่งที่ 4 ของโลก ก่อนในอนาคตจะเดินหน้าเปิดบริการ ‘เซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์’ (142 ห้องพัก) ต่อในไตรมาส 1 ปีหน้า

[ หัวหิน ยังคงมีเสน่ห์อยู่ เชื่อว่าเป็นระยะสั้นเท่านั้น ]

อีกหนึ่งโปรเจ็กต์ที่ได้รับความสนใจจากหลายๆ คน คือ เซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน ที่ได้ต่อสัญญาเช่าที่ดินในปีที่แล้ว ทำให้อยู่ระหว่างเตรียมการรีโนเวทโรงแรม โดยเชื่อว่าปัญหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหัวหินเป็นเรื่องระยะสั้น หัวหินยังคงมีเสน่ห์ในการท่องเที่ยวและการทำถนนก็แล้วเสร็จเพิ่มขึ้น

ทำให้ในพื้นที่หัวหินเซ็นทารายังมีอีกโครงการที่เตรียมจะเริ่มพัฒนาในปี 2568 คือ โปรเจ็กต์โรงแรมรถไฟ ที่เซ็นทาราจ่ายค่าเช่าฟิกซ์เรทให้กับการรถไฟ เตรียมทำแบบและเสนอให้ทางรถไฟอนุมัติ

นอกจากนั้น ยังเตรียมเดินหน้ารีแบรนด์ ‘เซ็นทารา บูติก คอลเลกชัน’ ต่อ หลังจากปีที่แล้วรีแบรนด์ ‘เซ็นทรา บาย เซ็นทารา’ ให้เป็น ‘เซ็นทารา ไลฟ์’ เพื่อขยาย 6 แบรนด์ในเครือออกสู่ในและต่างประเทศ อย่างเช่น ขยายเซ็นทารา รีเสิร์ฟและมิราจไปในไทย มัลดีฟส์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย

รวมถึงมีแผนจะขยายโรงแรมในดูไบ เดิมเซ็นทารา มิราจ ดูไบ มีขนาด 600 ห้อง มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยกว่า 80% และทำราคาค่าห้องได้ดี จึงมีการพูดคุยกับพาร์ทเนอร์เตรียมซื้อที่ดินและก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 200 ห้อง คาดจะเริ่มสร้างได้ในอีกไม่เกิน 1 ปีครึ่ง และเบ็ดเสร็จเรียบร้อยใน 3 ปีครึ่ง

[ แผนการลงทุน เดินหน้า Future Growth ]

ส่วนแผนการลงทุนของ ‘เซ็นทารา’ เป็นปีที่เดินหน้าสู่ Future Growth โดยปีที่แล้วใช้งบลงทุนไป 2,200 ล้านบาท แต่ในปีนี้ด้วยโปรเจ็กต์ใหม่และรีโนเวท จึงเตรียมงบลงทุนไว้ 6,500-7,000 ล้านบาท (รวมธุรกิจอาหารด้วย) โดยถ้ารวมงบลงทุนปี 2568-2569 คาดขั้นต่ำจะเป็น 12,000 ล้านบาท (โดยธุรกิจอาหารใช้ประมาณปีละ 1,000 กว่าล้านบาทโดยเฉลี่ย)

โดยปี 2025 จะเป็นปีที่เห็นผลลัพธ์ของ Future Growth เพราะโรงแรมในมัลดีฟส์จะเปิดบริการเกือบเต็มปีแล้ว สำหรับระยะยาว ‘เซ็นทารา’ ยังคงมุ่งมั่นจะขยับเข้าสู่ TOP 100 โรงแรมจากการจัดอันดับของ Hotel Magazine โดยปัจจุบันอยู่ในอันดับ 117 ซึ่งจะเน้นกลยุทธ์รับบริหารเป็นหลัก จาก 50 โรงแรมในปัจจุบันมีโรงแรมที่เป็นเจ้าของอยู่ 20 โรงแรม และโรงแรมรับบริหาร 30 โรงแรม ในปี 2023 รับบริหารเพิ่มเติมมาก 7-8 โรงแรม และในปีนี้ได้สัญญาบริหารมาแล้ว 5 โรงแรม